วิธีลดน้ำหนักให้ได้ผล

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการลดน้ำหนัก แต่ลองมาหลายวิธีแล้วยังไม่ได้ผล ลองทำความเข้าใจกับร่างกายของตนเองอย่างแท้จริง แล้วลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างถูกวิธี เพื่อสุขภาพและรูปร่างที่ดีในระยะยาว ที่คุณสร้างเองได้

ลดน้ำหนัก

โรคอ้วนคืออะไร แล้วคุณอ้วนหรือไม่ ?

โรคอ้วน เกิดจากการที่ร่างกายมีไขมันสะสมในปริมาณที่มากผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคร้ายต่าง ๆ ตามมา การวินิจฉัยโรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกิน มักใช้การวัดค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) เปอร์เซ็นต์ของไขมันในร่างกาย (Body Fat Percentage) และรอบเอว (Waist Circumference) ควบคู่กัน

สาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคอ้วนและภาวะน้ำหนักเกินเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น การขาดการออกกำลังกาย พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ผิด ๆ พันธุกรรม อายุ ปัญหาสุขภาพ การตั้งครรภ์ การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ บางครั้งก็เกิดจากผลข้างเคียงในการรักษาและการใช้ยา หรือพฤติกรรมของคนในครอบครัว เป็นต้น

ลดน้ำหนักให้ได้ผลและดีต่อสุขภาพ ทำอย่างไร ?

การลดน้ำหนักให้ได้ผลและดีต่อสุขภาพ ต้องเป็นการลดน้ำหนักที่มาจากต้นเหตุ ซึ่งจะช่วยให้น้ำหนักลดลงช้า ๆ ช่วยให้สามารถควบคุมน้ำหนักได้ในระยะยาวไม่เกิดภาวะโยโย่ (YOYO Effect) จนทำให้กลับมาอ้วนเหมือนเดิม โดยสามารถทำได้ดังนี้

ควบคุมอาหาร การควบคุมอาหารเป็นวิธีเบื้องต้นในการลดน้ำหนักที่ค่อนข้างได้ผลอย่างน่าพึงพอใจ ทั้งนี้ การควบคุมอาหารไม่ใช่การอดอาหาร เพราะการอดอาหารจะทำให้เสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหารได้ ดังนั้นหากต้องการลดน้ำหนักก็ควรควบคุมด้วยวิธีดังนี้

เปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ผู้ที่มีภาวะอ้วนควรลด ละ เลิก อาหารที่มีเกลือและน้ำตาลสูง รวมทั้งหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน หันมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ควรอยู่ให้ห่างจากอาหารที่ล่อตาล่อใจ ที่สำคัญที่สุดคือ ห้ามอดอาหารโดยเด็ดขาด เพราะการอดอาหารเพียง 1 มื้อจะยิ่งทำให้หิวมากขึ้นและรับประทานมากขึ้นในมื้อต่อ ๆ ไป รวมทั้งควรจดบันทึกเพื่อให้ตัวเองได้ทราบว่าในแต่ละวันได้รับประทานอะไรไปบ้าง จะช่วยให้สามารถควบคุมอาหารในวันต่อไปได้ดียิ่งขึ้น

ออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ได้ผลดีมากในการลดน้ำหนัก เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานและไขมันส่วนเกินออกไปได้มากขึ้น โดยการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับการลดน้ำหนักที่สุดก็คือ

นายแพทย์ Timothy Church ศาสตราจารย์จากสถาบันวิจัยชีวการแพทย์เพนนิงตัน รัฐลุยเซียนา แนะนำเรื่องของระยะเวลาในการออกกำลังในเว็บเอ็มดีไว้ว่า

ในขณะที่ ดร. Glenn Gaesser ศาสตราจารย์และหัวหน้าสาขาวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหว ณ มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียได้แนะนำว่า  สำหรับผู้เริ่มต้น ควรเริ่มออกกำลังกายสัปดาห์ละ 50 นาที แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นไปจนถึง 200 นาทีต่อสัปดาห์

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะออกกำลังกายควรสังเกตดูความพร้อมของร่างกายด้วย หากมีปัญหาสุขภาพหรือมีน้ำหนักตัวมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ช่วยวางแผนในการออกกำลังกายที่จะไม่ส่งผลกระทบถึงสุขภาพในระยะยาว

ปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต หากยังคงใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ การลดน้ำหนักอาจไม่ประสบผลสำเร็จอย่างที่หวัง ดังนั้นควรปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต โดยตั้งเป้าหมายให้แน่วแน่ ทำอย่างต่อเนื่อง และติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การลดน้ำหนักเป็นไปได้ตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้ ควรให้ครอบครัวและคนใกล้ชิดเข้ามามีส่วนร่วมหรือคอยช่วยเหลือในเรื่องการลดน้ำหนัก เพราะกำลังใจจากคนใกล้ชิดก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้การลดน้ำหนักสำเร็จได้เช่นกัน

วิธีทางการแพทย์ ในบางกรณี การลดน้ำหนักด้วยวิธีทางการแพทย์ก็สามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์  โดยวิธีทางการแพทย์ที่ใช้ในการลดน้ำหนักได้แก่

นอกจากยาลดน้ำหนักเหล่านี้แล้ว ก็ยังมียาลดน้ำหนักบางชนิดที่ยังไม่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานสาธารณสุขในไทย แต่ได้รับการรับรองและใช้ในต่างประเทศ ได้แก่ คอนเทรฟ (Contrave) และซาเซนดา (Saxenda) ทั้งนี้ อาจก่อให้เกิดภาวะโยโย่ได้ ดังนั้นหากไม่จำเป็นจริง ๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาจะดีที่สุด

การผ่าตัดลดน้ำหนัก เช่น การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะ ถือเป็นวิธีลดน้ำหนักที่เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว และแพทย์มักแนะนำการผ่าตัดลดน้ำหนักให้กับคนที่มีน้ำหนักมาก หรือมีปัญหาสุขภาพที่เป็นอันตรายต่อชีวิต โดยข้อดีของการผ่าตัด คือ สามารถลดน้ำหนักได้ภายใน 18-24 เดือน ทั้งนี้น้ำหนักอาจกลับมาเพิ่มขึ้นได้ แต่เกิดได้น้อยมาก ส่วนข้อเสียคือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ท้องอืด วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ ถ่ายเหลว และขาดสารอาหารบางชนิด

วิธีการผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนักและรักษาโรคอ้วนที่แพทย์นิยมใช้ มี 4 วิธี ได้แก่

ทั้งนี้ หลังการผ่าตัด แพทย์จะต้องมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิดเพื่อตรวจสอบผลและผลข้างเคียง เช่น ภาวะขาดสารอาหารที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัดกระเพาะอาหาร ซึ่งหลังจากการผ่าตัดลดน้ำหนักจะทำให้ความเสี่ยงโรคร้ายแรงต่าง ๆ ลดลง รวมถึงอาจทำให้วิถีชีวิตของผู้ป่วยโรคอ้วนหรือผู้ที่มีน้ำหนักเกินเปลี่ยนไปด้วย เนื่องจากการผ่าตัดจะส่งผลทำให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิตในแต่ละวันไปโดยปริยาย

ทว่าการผ่าตัดลดน้ำหนักก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีเสมอไป เพราะมีความเสี่ยงและส่งผลกระทบหลายอย่าง เช่น การผ่าตัดบายพาสกระเพาะ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในระหว่างการผ่าตัด อาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกจำนวนมาก เกิดการติดเชื้อ เกิดปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์เนื่องจากการใช้ยาชา เกิดลิ่มเลือด เกิดปัญหาที่ปอดหรือการหายใจ ระบบย่อยอาหารอ่อนแอลง ซึ่งอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ไม่เพียงเท่านั้น การผ่าตัดอาจส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพได้ ไม่ว่าจะเป็นลำไส้อุดตัน มีภาวะอาหารผ่านกระเพาะอย่างรวดเร็วเข้าสู่ลำไส้ จนทำให้เกิดอาการท้องเสีย คลื่นไส้หรืออาเจียน เป็นโรคนิ่ว ไส้เลื่อน ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ขาดสารอาหาร กระเพาะทะลุ แผลในกระเพาะอาหาร เป็นต้น

การลดน้ำหนักควรทำให้อยู่ในขอบเขตที่พอดีอย่างปลอดภัย เพราะการมุ่งลดน้ำหนักด้วยวิธีการผิด ๆ โดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เช่น อดอาหาร ใช้ยาลดความอ้วนเองในปริมาณที่ไม่เหมาะสม การล้วงคอ หรือออกกำลังกายอย่างหักโหมมากเกินไป จะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี เกิดภาวะขาดน้ำจนเป็นอันตรายกับสุขภาพ เกิดภาวะขาดสารอาหารจากการอดอาหาร หรือประสบกับภาวะขาดเกลือแร่ อีกทั้งอาจสะสมจนกลายเป็นปัญหาสุขภาพจิต เช่น กลายเป็นโรคอะนอเร็กเซีย เนอร์โวซา (Anorexia Nervosa) โรคบูลิเมีย (Bulimia) รวมทั้งภาวะอื่น ๆ ที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้