วัณโรค วัณโรคปอด (Tuberculosis) อาการ, สาเหตุ, การรักษา ฯลฯ

วัณโรค

วัณโรค (ภาษาอังกฤษ : Tuberculosis) หรือโรคทีบี (Tubercle bacillus : TB) หรือที่โบราณเรียกว่า “ฝีในท้อง” คือ โรคติดเชื้อเรื้อรังที่เกิดจากเชื้อวัณโรคที่สามารถแพร่ให้คนที่อยู่ใกล้ชิดได้ แม้ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วการอักเสบจากเชื้อวัณโรคจะเกิดขึ้นในปอดที่เรียกว่า “วัณโรคปอด” (ภาษาอังกฤษ : Pulmonary tuberculosis) แต่วัณโรคก็สามารถเกิดกับอวัยวะอื่น ๆ ได้เกือบทุกอวัยวะในร่างกาย เช่น ประสาทและสมอง ต่อมน้ำเหลือง ลำไส้ ตับ ม้าม ระบบขับถ่าย กระเพาะปัสสาวะ ระบบสืบพันธุ์ กระดูกและข้อ เป็นต้น ในสมัยก่อนผู้ป่วยวัณโรคมักจะเสียชีวิต แต่ในปัจจุบันโรคนี้สามารถรักษาด้วยยาจนหายขาดได้

วัณโรคเป็นจัดว่าเป็นโรคติดต่อที่พบได้บ่อยชนิดหนึ่ง พบได้มากในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำ และมักพบในผู้ที่มีฐานะยากจนหรืออยู่กันอย่างแออัด วัณโรคถือเป็น 1 ใน 10 สาเหตุการเสียชีวิตของคนทั่วโลก โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เปิดเผยสถิติล่าสุดในปี พ.ศ.2558 ว่ามีผู้ที่ป่วยทั่วโลกทั้งหมด 10.4 ล้านคน และมีผู้ที่เสียชีวิตจากวัณโรคมากถึง 1.8 ล้านคน ส่วนผู้ติดเชื้อวัณโรคที่อยู่ในระยะแฝง ซึ่งยังไม่แสดงอาการพบว่ามีมากถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั่วโลก หรือเทียบเท่ากับ 2,000 ล้านคนทั่วโลก

ส่วนในประเทศไทยวัณโรคก็ยังเป็นโรคที่พบได้มากและยังอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง (แม้จะไม่ติด 10 อันสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยก็ตาม) องค์การอนามัยโลกได้จัดให้ประเทศไทยเป็น 1 ใน 22 ประเทศที่มีปัญหาวัณโรคสูงมากมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2521 แล้ว ซึ่งจำนวนของผู้ป่วยวัณโรครายใหม่ในกลุ่ม 22 ประเทศเหล่านี้ก็คิดเป็นกว่า 80% ของผู้ป่วยทั่วโลก (รายงานอุบัติการณ์ของการติดเชื้อวัณโรคของสำนักวัณโรค กระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี พ.ศ.2555 พบผู้ป่วย 137 รายต่อประชากร 100,000 คน หรือประมาณ 90,000 คนต่อปี (ในการนี้เป็นเชื้อดื้อยาประมาณ 1,900 คน) และเสียชีวิต 16 รายต่อประชากร 100,000 คน ส่วนรายงานขององค์การอนามัยโลกในปีเดียวกันนี้ พบว่ามีผู้ป่วยวัณโรคในประเทศไทยทั้งหมด 61,208 รายที่มีการลงทะเบียน ทั้งนี้ยังไม่ได้นับรวมกับผู้ป่วยบางส่วนที่ไม่ได้มีการลงทะเบียนซึ่งเชื่อว่ามีอีกจำนวนมาก)

สาเหตุของวัณโรค

เชื้อที่เป็นสาเหตุ : เกิดจากเชื้อวัณโรค ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีการเจริญเติบโตหรือการแบ่งตัวช้ากว่าแบคทีเรียทั่วไปชนิดอื่น ๆ โดยแบคทีเรียกลุ่มนี้มีชื่อว่า “ไมโครแบคทีเรีย” ซึ่งมีหลากหลายสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดวัณโรคได้ แต่สายพันธุ์ที่พบได้บ่อยและก่อปัญหามากที่สุดในมนุษย์คือ เชื้อ “ไมโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส” (Mycobacterium tuberculosis) หรือบางครั้งเรียกว่า “เชื้อเอเอฟบี” (Acid fast bacilli : AFB) ซึ่งสามารถแพร่กระจายในอากาศและติดต่อจากคนสู่คนได้

เชื้อวัณโรค
IMAGE SOURCE : CDC/Dr. George Kubica

การติดต่อ : ส่วนใหญ่จะติดเชื้อวัณโรคผ่านทางการหายใจสูดเอาเชื้อในฝอยละอองเสมหะขนาดเล็ก ๆ ที่ผู้ป่วยปล่อยออกมาแขวนลอยอยู่ในอากาศ (จากการไอ จาม พูด หัวเราะ ร้องเพลง หรือหายใจ) เข้าไปภายในปอดและต่อมน้ำเหลืองที่ขั้วปอด และอาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะอื่น ๆ ได้ทั่วร่างกาย (เช่น เยื่อหุ้มสมอง ต่อมน้ำเหลืองที่คอ ตับ ม้าม กระดูก เป็นต้น) แต่วัณโรคที่ปอดเป็นตำแหน่งที่พบได้บ่อยที่สุดและมีความสำคัญมากที่สุดเนื่องจากเชื้อสามารถแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้โดยการไอและแขวนลอยอยู่ในอากาศได้นานหลายชั่วโมง (การไอเพียง 1 ครั้งอาจพบมีละอองเสมหะออกมามากถึง 3,000 ละอองเสมหะ) ซึ่งผู้ที่จะรับเชื้อได้ในปริมาณมากพอจนถึงขั้นติดเชื้อเป็นโรคได้จะต้องอยู่ใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อวัณโรคเป็นเวลานาน (เช่น อยู่ในบ้านหรือห้องเดียวกัน) อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีสุขภาพและภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงจะมีโอกาสติดเชื้อวัณโรคได้น้อยกว่าผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะทำลายเชื้อได้เองตามธรรมชาติ หรือหากเคยได้รับเชื้อมาก่อนแต่มีสุขภาพที่แข็งแรงก็จะไม่อาการแสดงออกมาและไม่แพร่เชื้อ

ส่วนการติดต่อโดยทางอื่นนับว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก ที่อาจพบได้ก็คือ การที่เด็กดื่มนมวัวที่ได้จากวัวที่เป็นวัณโรคจากเชื้ออีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีชื่อว่า “ไมโคแบคทีเรียม โบวิส” (Mycobacterium bovis) โดยไม่ผ่านกรรมวิธีการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง (วัณโรคจะไม่ติดต่อทางการกินอาหาร ดื่มน้ำ หรือสัมผัส และในผู้ป่วยวัณโรคที่ได้รับยารักษาวัณโรคแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่แพร่เชื้อเมื่อกินยาเกิน 2 สัปดาห์ไปแล้ว)

วัณโรคติดต่อทางไหนบ้าง
IMAGE SOURCE : Shutterstock

การเกิดโรค : หลังการติดเชื้อวัณโรคได้ประมาณ 2-8 สัปดาห์ ร่างกายจะเกิดกระบวนการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา คนส่วนหนึ่งที่สามารถกำจัดเชื้อได้หมดก็จะไม่เป็นโรค ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือบกพร่อง ที่ไม่สามารถกำจัดเชื้อหรือควบคุมเชื้อวัณโรคให้สงบได้ก็จะกลายเป็นโรคภายหลังการติดเชื้อได้ไม่นาน เรียกว่า “วัณโรคปฐมภูมิ” (Primary tuberculosis คือ วัณโรคที่แสดงอาการตั้งแต่ครั้งแรกที่ติดเชื้อโดยไม่มีการอยู่ในระยะแฝง) และอีกส่วนหนึ่งที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายกำจัดเชื้อได้ไม่หมด (ซึ่งพบได้เป็นส่วนใหญ่) เชื้อที่เหลือจะหลบซ่อนอยู่ในปอดและอวัยวะต่าง ๆ อย่างสงบ โดยไม่มีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น เรียกว่า “การติดเชื้อวัณโรคแฝง” หรือ “วัณโรคระยะแฝง” (Latent TB infection) ซึ่งประมาณ 10% ของคนกลุ่มนี้จะกลายเป็นวัณโรคปอดในระยะเวลาต่อมา โดยกว่าครึ่งหนึ่งจะเกิดอาการของโรคขึ้นมาภายใน 2 ปีหลังการติดเชื้อ และอีกครึ่งหนึ่งจะกลายเป็นโรคในระยะเวลาหลายปีหรือนับเป็นสิบ ๆ ปีต่อมา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของร่างกาย กล่าวคือ ถ้าตราบใดที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายยังแข็งแรงก็จะไม่เกิดโรคขึ้นมา แต่เมื่อใดที่ร่างกายอ่อนแอหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น เป็นโรคเบาหวาน ติดเชื้อเอชไอวีหรือเป็นโรคเอดส์ เกิดภาวะขาดสารอาหาร กได้รับยาสเตียรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น) เชื้อที่หลบซ่อนอยู่ก็จะเกิดการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนจนทำให้เกิดเป็นวัณโรคปอดขึ้นมา ซึ่งเรียกว่า “การปลุกฤทธิ์คืน” (Reactivation)

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรค : ปัจจัยทำให้ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อวัณโรคสูงขึ้นมีดังนี้

อาการของวัณโรค

เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อวัณโรคแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการโดยทันที เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันจะทำหน้าที่ป้องกันการจู่โจมของเชื้อในร่างกาย จึงทำให้เชื้อค่อย ๆ พัฒนาไปอย่างช้า ๆ อาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ๆ ไปจนถึงหลายปีกว่าอาการของโรควัณโรคจะเริ่มแสดงอาการออกมาให้เห็น ทั้งนี้ อาการของวัณโรคจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะใหญ่ ๆ ได้แก่

อาการวัณโรค
IMAGE SOURCE : www.pulse.ng

ภาวะแทรกซ้อนของวัณโรค

ภาวะแทรกซ้อนของวัณโรคมักเกิดขึ้นจากการรักษาที่ล่าช้าหรือการรักษาที่ไม่ต่อเนื่อง แต่หากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็จะทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนมีน้อยลง อย่างไรก็ตาม ภาวะแทรกซ้อนก็ยังอาจเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยบางราย โดยที่เมื่อเกิดขึ้นจะมีตั้งแต่อาการไม่รุนแรงไปจนถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้

ภาวะแทรกซ้อนที่มักพบในผู้ป่วยวัณโรค ได้แก่ ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด, ภาวะมีลมในโพรงเยื่อหุ้มปอด, ถุงลมปอดโป่งพอง, ฝีในปอด, ไอออกเป็นเลือดมากถึงช็อก และเชื้อวัณโรคยังอาจแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดหรือระบบน้ำเหลืองไปทั่วร่างกาย กลายเป็นโรควัณโรคของอวัยวะต่าง ๆ (อาจพบร่วมกับวัณโรคที่ปอดหรือไม่ก็ได้) เช่น

นอกจากนี้ ถ้าพบเกิดในทารกและเด็กเล็ก อาจกลายเป็นวัณโรคชนิดแพร่กระจาย (Miliary tuberculosis) ซึ่งจะมีเชื้อในปริมาณมากแพร่กระจายตามกระแสเลือดไปทั่วร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยมีไข้เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง น้ำหนักตัวลดลง หายใจลำบาก อาจมีภาวะซีด หรือเลือดออก

ไม่เพียงเท่านั้น ในผู้ป่วยวัณโรคยังสามารถพบอาการดื้อยา (drug-resistant TB) ได้ด้วย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้แพทย์ต้องนำตัวอย่างเสมหะไปเพาะหาเชื้อและทดสอบความไวต่อยาก่อนเริ่มทำการรักษา ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการดื้อยา คือ ผู้ป่วยที่เคยได้รับการรักษามาก่อน (ได้แก่ ผู้ป่วยที่กลับมาเป็นซ้ำ หรือผู้ป่วยที่ล้มเหลวในการรักษาเนื่องจากการดื้อยา), ผู้ป่วยที่กำลังรักษาแต่ยังพบเชื้อแม้จะสิ้นสุดการรักษาเดือนที่ 5, ผู้ป่วยที่มีประวัติเคยสัมผัสผู้ป่วยที่มีกรณีดื้อยาและมีอาการต้องสงสัยว่าจะเป็นวัณโรค

การวินิจฉัยวัณโรค

เมื่อไปพบแพทย์ ในขั้นแรกแพทย์จะทำการซักประวัติการสัมผัสโรค ตรวจร่างกาย ตรวจดูลักษณะของต่อมน้ำเหลืองว่ามีอาการบวมหรือไม่ ร่วมกับการใช้อุปกรณ์สเต็ตโทสโคป (Stethoscope) ซึ่งเป็นหูฟังเพื่อฟังเสียงการทำงานของปอดในขณะที่หายใจ

จากนั้นแพทย์อาจทำการตรวจเบื้องต้นด้วยวิธีการตรวจคัดกรองวัณโรคที่เรียกว่า “การตรวจทูเบอร์คูลิน” (Tuberculin skin test : TST) ซึ่งเป็นการตรวจทางผิวหนังที่ใช้หลักการของการตอบสนองโดยกลไกภูมิคุ้มกันของร่างกายที่จะสามารถให้ผลบวกได้ระหว่าง 2-8 สัปดาห์ หลังจากที่ได้รับเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกาย โดยแพทย์จะทำการฉีดยาที่เป็นโปรตีนสารสกัดจากเชื้อวัณโรค เรียกว่า “พีพีดี” (Purified protein derivative : PPD) เข้าชั้นใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขน หลังจากนั้นประมาณ 48-72 ชั่วโมง ต้องกลับมาให้แพทย์หรือพยาบาลตรวจรอยฉีดยา ถ้าบริเวณที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมน้อยกว่า 10 มิลลิเมตร แสดงว่าบุคคลนั้นไม่น่าจะติดเชื้อ (ให้ผลลบ) แต่ถ้าบริเวณที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมตั้งแต่ 10 มิลลิเมตรขึ้นไป แสดงว่าบุคคลน่าจะติดเชื้อวัณโรค (ให้ผลบวก) และจะต้องทำการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อยืนยันด้วย เนื่องจากการตรวจนี้อาจให้ผลลวงได้ เช่น ผลที่ออกมาเป็นบวกอาจไม่ได้แปลว่าเป็นวัณโรคเสมอไป ส่วนผลที่ออกมาเป็นลบ ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีความเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรค วิธีนี้จึงไม่ใช่วิธีวินิจฉัยวัณโรคที่แน่นอน เพราะความไวและความจำเพาะของการนี้ค่อนข้างมีจำกัด นอกจากนี้ หากผู้ป่วยมีอาการผิดปกติที่ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อวัณโรคแต่การตรวจให้ผลลบ แพทย์ก็อาจสั่งตรวจด้วยวิธีอื่น ๆ เพื่อความแน่ใจด้วยเช่นกัน

การตรวจคัดกรองวัณโรค
IMAGE SOURCE : CDC’s Public Health Image Library, health.usf.edu

เมื่อการตรวจคัดกรองวัณโรคไม่สามารถบอกอะไรได้ชัดเจน แพทย์จะทำการตรวจด้วยวิธีอื่น ๆ เพื่อระบุโรคให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมีวิธีการตรวจวินิจฉัยดังนี้

อาการของวัณโรคปอด
IMAGE SOURCE : emedicine.medscape.com, radiopaedia.org

การแยกโรค

การรักษาวัณโรค

หากมีอาการน่าสงสัย เช่น ไอเรื้อรัง มีไข้ เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลง หอบเหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก เหงื่อออกมากตอนกลางคืน เป็นต้น ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล หากแพทย์ตรวจพบว่าเป็นวัณโรค แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

วัณโรคไม่ใช่โรคที่น่ากลัวหรือน่ารังเกียจ และเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการกินยารักษาวัณโรคทุกวันจนครบ 6 เดือนหรือตามที่แพทย์กำหนด

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยวัณโรค

นอกจากการรักษาด้วยยาที่ผู้ป่วยจะต้องกินยาให้ถูกต้องตามที่กล่าวไปแล้ว ผู้ป่วยจะต้องมีการดูแลตนเองให้ดีควบคู่ไปด้วยเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้

วัณโรคเป็นโรคที่ต้องมีการติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอาการต่าง ๆ ของผู้ป่วยจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายในเวลา 1-2 สัปดาห์หลังจากเริ่มการรักษา แล้วอาการจะดีขึ้นอย่างชัดเจนภายใน 3 เดือนประมาณ 80% และจะดีขึ้นมากหลังจากรักษาไปได้ 4 เดือนประมาณ 90% อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาในการรักษาของผู้ป่วยวัณโรคในแต่ละรายจะแตกต่างกันไป และผู้ป่วยยังต้องกินยาติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป ร่วมกับการตรวจเสมหะและภาพถ่ายเอกซเรย์ปอดเป็นระยะ ๆ

การป้องกันวัณโรค

แม้วัณโรคจะเป็นโรคที่สามารถติดต่อได้ แต่เราก็สามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้ได้ โดยมีวิธีการป้องพื้นฐาน คือ

วัคซีนวัณโรค
IMAGE SOURCE : www.who.int
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “วัณโรคปอด (Tuberculosis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 424-429.
  2. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 380 คอลัมน์ : สารานุกรมทันโรค.  “วัณโรคปอด”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [28 ส.ค. 2017].
  3. หาหมอดอทคอม.  “วัณโรค (Tuberculosis)”.  (นพ.วีระเดช สุวรรณลักษณ์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [30 ส.ค. 2017].
  4. พบแพทย์.  “วัณโรค”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.pobpad.com.  [02 ก.ย. 2017].
  5. ASTV ผู้จัดการออนไลน์.  “วัณโรคสำคัญกว่าที่คุณคิด”.  (นพ.กำพล สุวรรณพิมลกุล ผู้เชี่ยวชาญสาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.manager.co.th. [04 ก.ย. 2017].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 วัณโรค
  • 2 สาเหตุของวัณโรค
  • 3 อาการของวัณโรค
  • 4 ภาวะแทรกซ้อนของวัณโรค
  • 5 การวินิจฉัยวัณโรค
  • 6 การแยกโรค
  • 7 การรักษาวัณโรค
  • 8 คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยวัณโรค
  • 9 การป้องกันวัณโรค
  • 10 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ