ร้อนใน อาการ สาเหตุ และการรักษาแผลร้อนใน 25 วิธี

แผลร้อนใน

โรคแผลร้อนใน หรือ แผลแอฟทัส (Aphthous ulcer, Aphthous stomatitis, Canker sore, Recurrent aphthous ulcer – RAU, Ulcerative stomatitis) คือ โรคจากการมีแผลเปื่อยในช่องปากที่พบได้บ่อย อาจเกิดบริเวณส่วนใดของช่องปากก็ได้ อาจจะมีเพียงแผลเดียวหรือหลายแผล แผลอาจมีขนาดเล็กไม่ถึงเซนติเมตรหรืออาจใหญ่เป็นหลายเซนติเมตรก็ได้ ส่วนความเจ็บจะขึ้นอยู่กับขนาดของแผลและความรุนแรงของโรค โรคนี้มักจะเป็นครั้งแรกในช่วงวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว มักเป็น ๆ หาย ๆ อยู่เป็นประจำ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง นอกจากสร้างความรำคาญ

แผลร้อนในเป็นโรคที่พบได้บ่อยตั้งแต่ในเด็กเล็กไปจนถึงวัยผู้สูงอายุ แต่มักจะพบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่นจนถึงวัยหนุ่มสาว โดยเฉพาะในผู้หญิงจะพบได้บ่อยกว่าผู้ชาย เมื่ออายุมากขึ้นจะเป็นห่างออกไปเรื่อย ๆ และบางรายอาจหายขาดเมื่อมีอายุมาก จากสถิติที่ผ่านมาพบว่าประมาณ 15-30% ของประชากรทั่วโลกจะเป็นโรคนี้ บางคนอาจเกิดได้ประมาณน้อยกว่า 4 ครั้งต่อปี ซึ่งเป็นกรณีที่พบได้บ่อยประมาณ 80-90% ของผู้ป่วย แต่บางคนก็อาจเกิดบ่อยกว่า 1 ครั้งต่อเดือน ซึ่งเป็นกรณีที่พบได้น้อยประมาณ 10% ของผู้ป่วย

สาเหตุของแผลร้อนใน

ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคนี้อย่างแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างร่วมกัน และอาจมีความสัมพันธ์กับปฏิกิริยาภูมิต้านทานของร่างกายด้วย โดยพบว่าประมาณ 30-40% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้บ่อย ๆ จะมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย (สาเหตุจากพันธุกรรม) จึงทำให้เชื่อได้ว่าโรคนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ และโดยส่วนใหญ่จะเกิดอาการขึ้นมาเองโดยไม่ต้องมีสิ่งมากระตุ้น แต่ในส่วนน้อยก็พบว่ามีสิ่งกระตุ้นให้อาการกำเริบขึ้นมาได้เช่นกัน ได้แก่

อาการของแผลร้อนใน

อาการสำคัญของแผลร้อนในคือ มีแผลเปื่อยเจ็บในช่องปากแบบเป็น ๆ หาย ๆ อยู่เป็นประจำเมื่อมีสิ่งที่มากระตุ้น (เช่น ความเครียด การแพ้อาหารบางชนิด กัดถูกปากตัวเอง การใช้ยาบางชนิด การมีประจำเดือน ฯลฯ) หรืออาจจะเป็นขึ้นมาเองเฉย ๆ โดยไม่ทราบว่ามีอะไรเป็นสิ่งกระตุ้นก็ได้

โดยแรกเริ่มผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บตรงตำแหน่งที่จะเกิดแผลเปื่อย ตามมาด้วยรอยแดง ๆ ลักษณะกลม ๆ หรือเป็นรูปไข่ ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นก่อนมีแผลเปื่อยประมาณ 2-3 วัน หลังจากนั้นจึงเกิดแผลเปื่อยขึ้นตรงรอยแดงนั้น ส่วนของขนาดแผลนั้นก็มีตั้งแต่ขนาดไม่กี่มิลลิเมตรไปจนถึงหลายเซนติเมตร โดยอาจเป็นเพียงแผลเดียวหรือมีหลายแผลก็ได้

อาการเจ็บแผลจะเป็นมากในช่วง 2-3 วันแรก ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดแสบมากขึ้นเวลากินอาหารที่มีรสเผ็ดหรือรสเปรี้ยวจัด ถ้าแผลมีขนาดใหญ่ อาจทำให้เจ็บมากจนกลืนหรือพูดจาไม่ถนัดได้ เมื่อแผลเริ่มหายอาการเจ็บแผลจะลดน้อยลง (โดยปกติแล้วผู้ป่วยมักไม่มีอาการไข้ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต หรืออาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย แต่ถ้ามีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น จำเป็นต้องได้รับการตรวจเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด)

แผลร้อนในสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะตามความรุนแรงของโรค ดังนี้

หมายเหตุ : อาการร้อนใน มิได้หมายถึงอุณหภูมิของร่างกายที่สูงขึ้นแต่อย่างใด เพราะอาการตัวร้อนอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับร้อนในก็เป็นได้

ผลข้างเคียงของแผลร้อนใน

โดยปกติแล้วแผลร้อนในเป็นโรคที่ไม่รุนแรง มักหายไปได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์หลังการดูแลตนเอง และมักจะไม่ก่อให้เกิดแผลเป็น (ยกเว้นในกรณีที่แผลเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย ที่จะทำให้แผลหายช้าลง หรือในกรณีที่เป็นแผลร้อนในใหญ่และแผลร้อนในชนิดคล้ายเริม) โดยทั่วไปจึงไม่พบผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนจากโรคนี้

อนึ่ง ยังไม่เคยมีรายงานว่าแผลร้อนในจะกลายเป็นโรคมะเร็งได้ (แต่แผลโรคมะเร็งอาจทำให้มีแผลเหมือนแผลร้อนในได้) แต่ทางที่ดีเมื่อเป็นแผลในช่องปากทุกชนิดรวมทั้งแผลร้อนใน ถ้ารักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือไม่หายภายใน 2-3 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัดเสมอ เพื่อวินิจฉัยแยกจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้น ซึ่งเป็นช่วงอายุที่พบโรคมะเร็งช่องปากได้สูงขึ้น

การวินิจฉัยโรคแผลร้อนใน

โดยปกติแล้วแพทย์สามารถวินิจฉัยแผลร้อนในได้จากการดูประวัติอาการ การตรวจร่างกาย และการตรวจดูแผลในช่องปาก ซึ่งก็เพียงพอที่จะสามารถสรุปได้ว่าเป็นโรคแผลร้อนในหรือไม่ แต่ในบางครั้งลักษณะของแผลอาจไม่แน่ชัด แพทย์อาจป้ายสารคัดหลั่งจากแผลเพื่อการย้อมสี และ/หรือตรวจเพาะเชื้อ หรือขูดเอาเซลล์จากแผลเพื่อไปตรวจทางเซลล์วิทยา หรือตัดเอาชิ้นเนื้อจากแผลเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา โดยเฉพาะเมื่อสงสัยว่าอาจเป็นแผลจากโรคมะเร็งช่องปาก

วิธีรักษาแผลร้อนใน

เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคนี้ที่แน่ชัด แนวทางในการรักษาแผลร้อนในในปัจจุบันที่สามารถทำได้ก็คือ การรักษาแบบประคับประคองไปตามอาการที่เป็น ได้แก่

หมายเหตุ : สำหรับแผลเปื่อยที่เกิดจากการบาดเจ็บทั่วไป เช่น ถูกฟันกัด ถูกแปรงสีฟันครูดหรือกระแทก รากฟันปลอมเสียดสี ฯลฯ มักจะทำให้เกิดเป็นแผลเพียง 1-2 แผลที่ริมฝีปาก ลิ้น หรือเหงือก ซึ่งแผลเปื่อยชนิดนี้ไม่มีอันตรายและมักหายไปได้เองภายใน 1 สัปดาห์ ส่วนการรักษานั้นให้ใช้วิธีบ้วนปากด้วยน้ำเกลือวันละ 2-3 ครั้ง หรือกินยาแก้ปวดเมื่อรู้สึกปวด หรือถ้าอักเสบเป็นหนองให้ป้ายด้วยเจนเชียนไวโอเลต แต่ถ้าแผลเกิดลุกลามหรือไม่หายภายใน 3 สัปดาห์ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ ส่วนในรายที่เกิดจากฟันปลอมไม่กระชับ เสียดสีจนเป็นแผลอยู่บ่อย ๆ ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อแก้ไขฟันปลอมให้กระชับขึ้น เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ อาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากได้ครับ

สมุนไพรแก้ร้อนใน

สมุนไพรที่มีสรรพคุณเป็นยาแก้ร้อนในมีอยู่ด้วยกันมากมายหลายชนิด (มากกว่าร้อยชนิด) แต่ในบทความนี้จะขอกล่าวถึง “ยาสมุนไพรแก้ร้อนในแผนโบราณที่จัดอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติเท่านั้น” ได้แก่

  1. ยาบัวบก (Centella asiatica (L.) Urb.) เป็นผงสกัดที่ได้จากส่วนเหนือดินของต้นบัวบก ซึ่งตัวยาจะอยู่ในรูปแบบของยาชงและยาแคปซูล ชนิดชงให้รับประทานครั้งละ 2-4 กรัม โดยใช้ชงกับน้ำร้อนประมาณ 120-200 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร ส่วนชนิดแคปซูลใช้รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร ซึ่งจะมีคำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้ยาดังนี้
    • ห้ามใช้กับผู้ป่วยที่แพ้สมุนไพรในวงศ์ผักชี (APIACEAE หรือ UMBELLIFERAE) เช่น ผักชี ผักชีล้อม แคร์รอต
    • ห้ามใช้ยานี้กับผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นไข้เลือดออก เนื่องจากฤทธิ์ของยาอาจไปบดบังอาการของไข้เลือดออก
    • ยานี้สามารถใช้ได้ในเด็ก หญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร
    • หลังการใช้ยานี้อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ เช่น ง่วงนอน คลื่นไส้ อาเจียน แสบท้อง มวนท้อง ท้องอืด ปัสสาวะบ่อย
    • หากใช้ยาเป็นเวลานานเกิน 2-3 วัน แล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรหยุดใช้แล้วไปพบแพทย์
    • ควรหลีกเลี่ยงการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพื่อป้องกันการเกิดพิษต่อตับ (อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยบางราย)
    • ควรระวังการใช้ยานี้ร่วมกับยาที่มีผลต่อตับ เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาขับปัสสาวะ, ยาที่มีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการง่วงนอน เช่น ยานอนหลับ เพราะตัวยาอาจเสริมฤทธิ์กัน, ยาที่มีกระบวนการเมตาบอลิซึมผ่าน Cytochrome P450 (CYP 450) เช่น ยาต้านไวรัสบางชนิด เนื่องจากยาบัวบกนั้นมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ CYP 2C9 และ CYP 2C19
    • สมุนไพรชนิดนี้อาจเพิ่มระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในเลือดได้ และทำให้ประสิทธิภาพของยาลดน้ำตาลและยาลดคอเลสเตอรอลลดลง
  2. ยารางจืด (Thunbergia laurifolia Lindl.) เป็นผงสกัดที่ได้จากใบรางจืดที่โตเต็มที่ ซึ่งตัวยาจะอยู่ในรูปแบบของยาชงและยาแคปซูล ชนิดชงให้รับประทานครั้งละ 2-3 กรัม โดยใช้ชงกับน้ำร้อนประมาณ 120-200 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้งก่อนอาหารหรือเมื่อมีอาการ ส่วนชนิดแคปซูล ให้รับประทานครั้งละ 500-1,000 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร ซึ่งจะมีคำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้ยาดังนี้
    • ยานี้สามารถใช้ได้ในเด็ก หญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร
    • ห้ามใช้ยานี้กับผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นไข้เลือดออก เนื่องจากฤทธิ์ของยาอาจไปบดบังอาการของไข้เลือดออก
    • หากใช้ยาเป็นเวลานานเกิน 2-3 วัน แล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรหยุดใช้แล้วไปพบแพทย์
    • ควรระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยเบาหวาน เพราะอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
    • ควรระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาอื่น ๆ เพราะยารางจืดอาจเร่งการขับยาเหล่านั้นออกจากร่างกาย ทำให้ประสิทธิภาพของยาเหล่านั้นลดลงได้
  3. ยามะระขี้นก (Momordica charantia L.) เป็นผงสกัดจากเนื้อผลแก่ที่ยังไม่สุกของผลมะระขี้นก ซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบ ได้แก่ ยาชง ยาแคปซูล และยาเม็ด ชนิดชงให้ใช้ครั้งละ 1-2 กรัม ชงกับน้ำร้อนประมาณ 120-200 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร ส่วนแบบแคปซูลและยาเม็ด ให้รับประทานครั้งละ 500-1,000 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร ซึ่งจะมีคำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้ยาดังนี้
    • ห้ามใช้ยานี้ในเด็ก หญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมากจนเกิดอาการชักได้
    • ห้ามใช้ยานี้กับผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นไข้เลือดออก เนื่องจากฤทธิ์ของยาอาจไปบดบังอาการของไข้เลือดออก
    • ควรระวังการใช้ยานี้ร่วมกับยาลดระดับน้ำตาลในเลือดชนิดรับประทานหรือร่วมกับการฉีดอินซูลิน เพราะตัวยาอาจเสริมฤทธิ์กันได้
    • ควรระวังการใช้ยานี้กับผู้ป่วยโรคตับ เพราะเคยมีรายงานว่าทำให้ตับเกิดการอักเสบได้
    • หากใช้ยาเป็นเวลานานเกิน 2-3 วัน แล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรหยุดใช้แล้วไปพบแพทย์
    • หลังการใช้ยานี้อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ เช่น คลื่นไส้ วิงเวียน ชาปลายมือปลายเท้า เกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจนช็อก เกิดอาการชักในเด็ก ท้องเดิน ท้องอืด ปวดศีรษะ และอาจเพิ่มระดับเอนไซม์ตับในเลือดได้
  4. ยาหญ้าปักกิ่ง (Murdannia loriformis (Hassk.) R.S.Rao & Kammathy) เป็นผงสกัดที่ได้จากหญ้าปักกิ่ง ซึ่งตัวยาจะอยู่ในรูปแบบของยาชงและยาแคปซูล ชนิดชงให้รับประทานครั้งละ 2-3 กรัม โดยใช้ชงกับน้ำร้อนประมาณ 120-200 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร ส่วนชนิดแคปซูล ให้รับประทานครั้งละ 400-500 มิลลิกรัม จนถึงขนาด 1,000 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้งก่อนอาหารเช่นกัน ซึ่งจะมีคำแนะนำและข้อควรระวังในการใช้ยาดังนี้
    • ห้ามใช้ยานี้กับผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นไข้เลือดออก เนื่องจากฤทธิ์ของยาอาจไปบดบังอาการของไข้เลือดออก
    • หากใช้ยาเป็นเวลานานเกิน 2-3 วัน แล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรหยุดใช้แล้วไปพบแพทย์
    • สามารถใช้ยานี้ในเด็กได้ (แต่ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี) หญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร (แต่ทั้งหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบันก่อนใช้ยานี้เสมอ)

สมุนไพรแก้ร้อนใน

คำแนะนำเกี่ยวกับแผลร้อนใน

วิธีป้องกันแผลร้อนใน

การป้องกันการเกิดแผลร้อนในให้ได้ 100% ยังไม่สามารถทำได้ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา แต่การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ อาจช่วยลดโอกาสการเกิดแผลร้อนในให้ลดน้อยลงได้ เช่น

  1. การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ในทุกมื้ออาหาร เพื่อช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันต่อต้านการติดเชื้อให้กับร่างกาย
  2. ค่อยเคี้ยว ๆ อาหาร มีสมาธิในการกินให้มาก และไม่รีบกินอาหารมากจนเกินไป เพื่อป้องกันการกัดลิ้นหรือเนื้อเยื่ออื่น ๆ ในช่องปาก
  3. พักผ่อนร่ให้เพียงพอ
  4. รักษาสุขภาพจิตให้ดี ไม่เครียดหรือเป็นกังวลมากจนเกินไป
  5. หมั่นออกกำลังกายกลางแจ้งในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์เป็นประจำ
  6. ไม่ใช้ยาสีฟันชนิดเดียวซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลานาน
  7. รักษาความสะอาดของช่องปากและฟันด้วยการแปรงฟันอย่างถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเมื่อตื่นนอนตอนเช้าและก่อนเข้านอน ใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้งก่อนแปรงฟันเข้านอน รวมถึงการบ้วนปากให้สะอาดหลังรับประทานอาหารและดื่มเครื่องดื่มต่าง ๆ
  8. หมั่นสังเกตอาการแพ้โดยดูจากความสัมพันธ์ของโรคกับอาหาร เครื่องดื่ม ยา และของใช้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับช่องปาก เช่น ชนิดของน้ำยาบ้วนปากและยาสีฟัน หรืออาหารบางชนิด ว่าแบบไหนใช้แล้วหรือกินแล้วมักก่อให้เกิดโรคร้อนใน หากเจอก็ควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจเป็นต้นเหตุเหล่านั้น
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “แผลแอฟทัส (Aphthous ulcer)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 556-558.
  2. หาหมอดอทคอม.  “แผลร้อนใน (Aphthous ulcer)”.  (ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [13 มี.ค. 2016].
  3. หาหมอดอทคอม.  “ยาแก้ร้อนใน (Cure heat drugs)”.  (ภก.กรชัย ฉันทจิรธรรม).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [13 มี.ค. 2016].

ภาพประกอบ : www.medgadget.com, www.wikimedia.org (by Pfiffner Pascal), www.globalskinatlas.com, www.rareconnect.org, www.wikihow.com, www.minepharmacy.com

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 แผลร้อนใน
  • 2 สาเหตุของแผลร้อนใน
  • 3 อาการของแผลร้อนใน
  • 4 ผลข้างเคียงของแผลร้อนใน
  • 5 การวินิจฉัยโรคแผลร้อนใน
  • 6 วิธีรักษาแผลร้อนใน
  • 7 สมุนไพรแก้ร้อนใน
  • 8 คำแนะนำเกี่ยวกับแผลร้อนใน
  • 9 วิธีป้องกันแผลร้อนใน
  • 10 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ