ริดสีดวง อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคริดสีดวงทวาร 18 วิธี

ริดสีดวงทวาร

ริดสีดวง (Hemorrhoids หรือ Piles) เป็นภาวะที่หลอดเลือดดำที่มีอยู่ตามธรรมชาติของคนทั่วไปในบริเวณทวารหนักเกิดการปูดพอง (ขอด) เป็นหัว หรือที่เรียกว่า “หัวริดสีดวง” แล้วมีการปริแตกของผนังหลอดเลือดในขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ จึงทำให้มีเลือดออกเป็นครั้งคราว โดยมักจะมีอาการของโรคเกิดขึ้นในเวลาท้องผูกหรือเกิดท้องเดินบ่อยครั้ง ปกติแล้วจะไม่ค่อยมีอาการรุนแรงหรืออันตราย โดยอาจจะเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง น่ารำคาญ หรือทำให้วิตกกังวลได้

หัวริดสีดวงที่พบอาจมีเพียงหัวเดียวหรือมีหลายหัวก็ได้ ถ้าเกิดจากหลอดเลือดดำที่อยู่ใต้ผิวหนังตรงปากทวารหนักจะเรียกว่า “ริดสีดวงภายนอก” (External Hemorrhoids) ซึ่งอาจมองเห็นจากภายนอกได้ แต่ถ้าเกิดจากหลอดเลือดอยู่ลึกเข้าไปจะเรียกว่า “ริดสีดวงภายใน” (Internal hemorrhoids) ซึ่งจะตรวจพบได้เมื่อใช้กล้องส่องตรวจไส้โดยตรง

โรคริดสีดวงทวาร โดยตัวมันเองแล้วไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง มักไม่เป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต แต่อาจทำให้เป็นเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ ได้ ถ้ายังไม่สามารถควบคุมสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้ โดยจะมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด และแม้ว่าจะเคยผ่าตัดรักษาริดสีดวงมาแล้ว ก็อาจจะเกิดริดสีดวงหัวใหม่ ทำให้มีเลือดออกได้อีก

สาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดโรคริดสีดวงทวาร คือ หลอดเลือดดำที่อยู่ใต้เยื่อเมือกและผิวหนังในบริเวณทวารหนักเกิดการปูดพองเป็นหัว เพราะมีภาวะความดันในหลอดเลือดดำสูงจากสาเหตุต่าง ๆ ได้แก่

  1. การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย
  2. ภาวะท้องผูกเรื้อรัง ทำให้ต้องเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นประจำ แรงเบ่งจะเพิ่มความดัน และ/หรือทำให้เกิดการเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด จนส่งผลให้หลอดเลือดโป่งพองหรือหลอดเลือดขอดได้ง่าย
  3. ท้องเดิน ท้องเสียเรื้อรัง การถ่ายอุจจาระบ่อย ๆ แรงเบ่งจะเป็นการเพิ่มความดัน และ/หรือทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดได้เช่นกัน
  4. อุปนิสัยในการเบ่งอุจจาระ เช่น ชอบเบ่งอุจจาระแรง ๆ หรือพยายามขับอุจจาระก้อนสุดท้ายออกไปให้ได้
  5. การเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน จากการเล่นโทรศัพท์มือถือหรืออ่านหนังสือในขณะขับถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน ๆ รวมถึงการนั่งแช่ การยืน หรือเดินเป็นเวลานาน ๆ เพราะจะทำให้เกิดการกดทับกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความดัน และ/หรือทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด
  6. การชอบใช้ยาสวนอุจจาระหรือยาระบายอย่างพร่ำเพรื่อ
  7. ภาวะตั้งครรภ์ เพราะน้ำหนักของครรภ์จะกดทับลงบนกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลกลับหัวใจได้ลดลง จึงเกิดการคั่งอยู่ในหลอดเลือดและเกิดหลอดเลือดบวมพองตามมา
  8. น้ำหนักตัวมาก (โรคอ้วน) มีผลให้แรงดันในช่องท้องและในอุ้งเชิงกรานเพิ่มสูงขึ้น เลือดจึงคั่งในกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดได้เช่นเดียวกับสตรีตั้งครรภ์
  9. อายุมาก (ผู้สูงอายุ) ผู้สูงอายุมักจะมีการเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ รวมทั้งความเสื่อมของกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด จึงทำให้หลอดเลือดโป่งพองได้ง่ายกว่าปกติ
  10. การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เพราะจะทำให้เกิดการกดเบียดทับหรือเกิดการบาดเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดส่วนนี้อย่างเรื้อรัง มีผลทำให้เลือดไปคั่งอยู่ในหลอดเลือด จึงเกิดหลอดเลือดโป่งพองได้ง่าย
  11. อาการไอเรื้อรัง มีผลเพิ่มแรงดันในช่องท้อง
  12. โรคแต่กำเนิดที่ไม่มีลิ้นปิดเปิด (Valve) ในหลอดเลือดดำในเนื้อเยื่อหลอดเลือดซึ่งช่วยในการไหลเวียนเลือด มีผลทำให้เกิดภาวะเลือดคั่งอยู่ภายในหลอดเลือด จึงเกิดหลอดเลือดโป่งพองได้ง่าย
  13. เกิดร่วมกับโรคอื่น ๆ นอกจากสาเหตุที่กล่าวมาแล้ว ริดสีดวงทวารยังอาจพบร่วมกับโรคในช่องท้องอื่น ๆ ได้ เช่น ก้อนเนื้องอกในท้อง (เช่น เนื้องอกมดลูก เนื้องอกหรือถุงน้ำรังไข่), มะเร็งลำไส้ใหญ่ (อาจทำให้มีอาการของริดสีดวงทวารได้ ดังนั้น ถ้าพบว่ามีเลือดออกนานกว่า 1 สัปดาห์ หรือพบในคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ควรแนะนำให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลเพื่อความแน่ใจ), ต่อมลูกหมากโต, ตับแข็ง (เพราะทำให้มีภาวะความดันในหลอดเลือดดำตับสูง ซึ่งส่งผลกระทบมาที่หลอดเลือดดำที่ทวารหนัก) เป็นต้น
  14. ไม่ทราบสาเหตุหรืออาจมีสาเหตุมาจากพันธุกรรม โดยพบว่าผู้ที่มีประวัติในครอบครัวเป็นริดสีดวงทวารหนัก จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป

ชนิดของโรคริดสีดวงทวาร

ทวารหนักเป็นส่วนติดต่อมาจากลำไส้ใหญ่และมาเปิดออกนอกร่างกาย มีความยาวประมาณ 4 เซนติเมตร และถูกแบ่งครึ่งออกเป็น 2 ส่วน ด้วยเส้นรอบวงที่เรียกว่า “แนวเส้นประสาท” หรือ “แนวรอยต่อระหว่างปลายลำไส้กับทวารหนัก” (Dentate Line หรือ Pectinate Line) ส่วนที่อยู่เหนือแนวเส้นประสาทจะเรียกว่า “รูทวารหนัก” (Anal canal) ซึ่งจะไม่มีเส้นประสาทรับความเจ็บปวดมาเลี้ยงที่ผนังของรูทวารหนักปกติ แต่จะมีก้อนเนื้อนูนออกมาเป็นระยะโดยรอบ หรือที่เรียกว่า “เบาะรอง” (Cushion) ซึ่งภายในจะมีกลุ่มเส้นเลือดและกล้ามเนื้ออยู่

  1. โรคริดสีดวงทวารแบบภายนอก (External hemorrhoids) จะปกคลุมไปด้วยชั้นผิวหนัง เกิดขึ้นในบริเวณใต้แนวเส้นประสาท (Pectinate Line) ซึ่งจะมีเส้นประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวดมาเลี้ยง เรียกว่า “ปากทวารหนัก” (Anal margin) เมื่อเบาะรองจากบริเวณรูทวารหนักเลื่อนตัวลงมาเรื่อย ๆ จนถึงปากทวารหนัก ก็จะดันกลุ่มเส้นเลือดและเนื้อเยื่อของปากทวารหนักให้เลื่อนต่ำลงและเบียดออกไปด้านข้างจนกลายเป็นก้อนนูนที่ปากทวารหนัก
    ริดสีดวงภายนอก
  2. โรคริดสีดวงทวารแบบภายใน (Internal hemorrhoids) จะปกคลุมด้วยเยื่อบุลำไส้ เกิดขึ้นในบริเวณเหนือแนวเส้นประสาท (Pectinate Line) หรือที่รูทวารหนัก ซึ่งจะไม่มีเส้นประสาทรับความเจ็บปวดมาเลี้ยงที่ผนังของรูทวารหนักปกติ ผู้เป็นริดสีดวงแบบนี้จึงมักไม่มีอาการเจ็บปวด และผู้ที่เป็นส่วนใหญ่ก็มักไม่ให้ความสนใจแม้จะรู้ตัวว่าเป็น ถ้ารักษาไม่หายก็สามารถเป็นริดสีดวงทวารได้ 2 แบบ คือ แบบมีก้อนยื่นออกทวาร (Prolapsed hemorrhoids) หรือแบบบีบรัด (Strangulated hemorrhoids) ถ้าหูรูดทวารหนักหดตัวและบีบก้อนหัวริดสีดวงจนขาดเลือดไปเลี้ยง ริดสีดวงก็จะกลายเป็นแบบบีบรัด
    ริดสีดวงภายในนอกจากนี้ริดสีดวงแบบภายในยังสามารถแบ่งตามระยะความรุนแรงของโรคได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้
    • ระยะที่ 1 หลอดเลือดที่โป่งพอง ยังเกิดอยู่ภายในทวารหนักและลำไส้ตรง และยังไม่มีหัวริดสีดวงโผล่ออกมา (สามารถรักษาโดยการให้ยา หรือฉีดยาเข้าไปในตำแหน่งที่มีเลือดออกได้)
    • ระยะที่ 2 หัวริดสีดวงปลิ้นโผล่ออกมาอยู่ที่ปากทวารหนักในขณะถ่ายอุจจาระ แต่หัวที่โผล่ออกมานี้สามารถกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้เองหลังจากขับถ่ายอุจจาระเสร็จ (สามารถใช้วิธียิงยางรัดโคนหรือหัวของริดสีดวงที่โผล่ออกมาได้ ซึ่งจะทำให้หัวริดสีดวงนั้นฝ่อและหลุดออกไปเอง)
    • ระยะที่ 3 หัวริดสีดวงจะไม่สามารถกลับเข้าไปภายในทวารหนักเองได้หลังจากขับถ่ายอุจจาระเสร็จ แต่ยังสามารถใช้นิ้วดันกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้
    • ระยะที่ 4 หัวริดสีดวงจะกลับเข้าไปภายในทวารหนักไม่ได้ และจะค้างอยู่ที่ปากทวารหนัก ถึงแม้จะใช้นิ้วช่วยดันแล้วก็ตาม ซึ่งในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดมากและต้องรีบไปพบแพทย์ด่วน ก่อนที่หัวริดสีดวงจะเน่าตายจากการขาดเลือด (สำหรับระยะที่ 3-4 สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการผ่าตัดทั่วไป)

อาการของริดสีดวงทวาร

การวินิจฉัยโรคริดสีดวงทวาร

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคริดสีดวงทวารได้จากการดูประวัติอาการ การตรวจร่างกาย โดยการตรวจก้อนเนื้อบริเวณทวารหนัก (อาจคลำได้ก้อนเนื้อนุ่ม ๆ สีคล้ำ ๆ ที่ปากทวารหนัก) และจากการส่องกล้องตรวจทางทวารหนักและลำไส้โดยตรง แต่ในบางกรณีอาจมีการตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยาด้วย เมื่อต้องแยกจากโรคมะเร็ง

ข้อควรรู้ : ปัญหาบริเวณปลายลำไส้และทวารหนักบางอย่าง อาจมีอาการคล้ายคลึงกัน ทำให้อาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรคริดสีดวงได้ เช่น แผลปริ แผลชอนทะลุ มะเร็งลำไส้ตรง เส้นเลือดขอดบริเวณลำไส้ตรง และอาการคัน ส่วนอาการเลือดออกก็อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นกันจากสาเหตุของมะเร็งลำไส้ ในกรณีที่เป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ, โรคลำไส้อักเสบโดยไม่ทราบสาเหตุ, โรคถุงลำไส้ใหญ่ และความผิดปกติของเส้นเลือด และสำหรับภาวะอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดก้อนเนื้อบริเวณปากทวารหนักได้ก็มีหลายอย่าง เช่น ผิวหนังเป็นติ่ง, หูดทวารหนัก, ติ่งเนื้อ, ลำไส้ตรงเลื่อน, ปุ่มพองออกบริเวณทวารหนัก, เส้นเลือดขอดบริเวณลำไส้ตรงกับทวารหนัก ซึ่งเกิดจากภาวะความดันโลหิตสูงในเส้นเลือดหลักเพิ่มขึ้น อาจแสดงอาการให้เห็นคล้ายคลึงกับโรคริดสีดวงทวาร แต่เป็นภาวะอีกอย่างหนึ่งต่างหาก

ผลข้างเคียงของโรคริดสีดวงทวาร

วิธีรักษาริดสีดวงทวาร

ข้อควรระวัง : การใช้ยากัดริดสีดวงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะอาจก่อให้เกิดผลแทรกซ้อนรุนแรงตามมาได้ เช่น ทวารหนักเน่า หรือตีบตัน

วิธีป้องกันโรคริดสีดวงทวาร

  1. ทางที่ดีที่สุดในการป้องกันคือ ทำให้อุจจาระไม่แข็งและผ่านไปได้โดยง่าย ด้วยการรับประทานผักและผลไม้ที่มีกากใยสูง ๆ ให้มาก ๆ ระวังอย่าให้ท้องผูก
  2. ดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่มและขับถ่ายออกได้ง่าย
  3. ฝึกเข้าห้องน้ำให้เป็นเวลา ไม่กลั้นอุจจาระ (ขับถ่ายโดยไวเมื่อรู้สึกปวดอุจจาระ)
  4. หลีกเลี่ยงการนั่งเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน ๆ (ให้ใช้เวลาให้น้อยที่สุดในขณะเบ่งถ่าย และหลีกเลี่ยงการเล่นโทรศัพท์มือถือและอ่านหนังสือในขณะขับถ่าย)
  1. ระวังอย่าให้เกิดอาการท้องร่วง ท้องเดิน หรือท้องเสียบ่อย ๆ
  2. ในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก (อ้วน) ควรหาวิธีลดความอ้วนอย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงการยกของหนัก
  3. ออกกำลังกายให้เพียงพอ พยายามเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ เช่น การเดิน
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 551-553.
  2. หาหมอดอทคอม.  “ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids or piles)”.  (ศาสตราจารย์เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [04 มี.ค. 2016].
  3. ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.  “ผ่าตัดริดสีดวงทวารอย่างไรไม่ให้เจ็บ (หรือเจ็บน้อย)”.  (ผศ.ดร.นพ.วรุตม์ โล่ห์สิริวัฒน์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [05 มี.ค. 2016].

ภาพประกอบ : www.medicalnewstoday.com, www.ami.at, wikipedia.org (by Pachacamac33, Dr. K.-H. Günther, Klinikum Main Spessart, Lohr am Main), hemorrhoid.center

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 ริดสีดวงทวาร
  • 2 สาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร
  • 3 ชนิดของโรคริดสีดวงทวาร
  • 4 อาการของริดสีดวงทวาร
  • 5 การวินิจฉัยโรคริดสีดวงทวาร
  • 6 ผลข้างเคียงของโรคริดสีดวงทวาร
  • 7 วิธีรักษาริดสีดวงทวาร
  • 8 วิธีป้องกันโรคริดสีดวงทวาร
  • 9 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ