รังสีอัลตราไวโอเลต ประโยชน์และโทษต่อร่างกาย

รังสีอัลตราไวโอเลต หรือรังสียูวี (UV) นอกจากจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตวิตามินดีแล้ว ยังนำมาใช้รักษาโรคหลายชนิด เช่น ด่างขาว สะเก็ดเงิน โรคกระดูกอ่อนในเด็ก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากได้รับรังสียูวีติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่ป้องกัน อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายส่วนต่าง ๆ เช่น ผิวหนัง ดวงตา ระบบภูมิคุ้มกัน เป็นต้น

รังสีอัลตราไวโอเลต

รังสีอัลตราไวโอเลตคือพลังงานรูปแบบหนึ่งซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เดินทางผ่านตัวกลางในรูปของคลื่น โดยมีความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 40-400 นาโนเมตร มีแหล่งกำเนิดหลักมาจากแสงอาทิตย์ หรืออาจเกิดจากอุปกรณ์ที่ปล่อยรังสียูวีออกมา เช่น หลอดแบล็คไลท์ (Black Lights) เครื่องทำผิวแทน (Tanning Booth) รวมถึงหลอดไฟชนิดต่าง ๆ รังสียูวีแบ่งออกเป็น 3 ชนิดหลัก ๆ ตามความยาวคลื่นที่ต่างกัน คือ รังสียูวีเอ (UVA) รังสียูวีบี (UVB) และรังสียูวีซี (UVC)

ประโยชน์ของรังสีอัลตราไวโอเลต

รังสีอัลตราไวโอเลตอาจเป็นสิ่งที่ใครหลาย ๆ คนต่างหลีกเลี่ยง แต่รู้หรือไม่ว่าหากได้รับในปริมาณที่พอเหมาะจะให้ประโยชน์แก่ร่างกายมากกว่าโทษ นอกจากนั้นทางการแพทย์ยังนำรังสีชนิดนี้มาใช้รักษาโรคกระดูกและโรคผิวหนังบางชนิด โดยประโยชน์ของรังสีอัลตราไวโอเลต มีดังนี้

กระตุ้นการสร้างวิตามินดี รังสียูวีบีมีคุณสมบัติกระตุ้นให้ร่างกายสร้างวิตามินดี ซึ่งเป็นวิตามินที่สำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือด กระดูก และภูมิคุ้มกัน ทั้งยังช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสจากอาหารที่บริโภค การออกมารับแสงแดดในช่วงเวลาที่เหมาะสมจึงเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเป็นบริเวณที่มีค่าชี้วัดความเข้มของแสงยูวีค่อนข้างสูง จึงควรหลีกเลี่ยงแดดในช่วง 9.00-14.00 น. เพราะจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย

รักษาโรคกระดูกและโรคผิวหนังบางชนิด การรรักษาโรคด้วยรังสียูวีควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น 00โรคที่แพทย์อาจแนะนำให้รักษาด้วยวิธีนี้ ได้แก่

ผลกระทบของรังสีอัลตราไวโอเลตต่อร่างกาย

หากได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตในปริมาณมากติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้

ผลกระทบต่อผิวหนัง ตั้งแต่ปัญหากวนใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ผิวคล้ำแดด ริ้วรอย ไปจนถึงอาการแพ้แดด ผิวไหม้จากแดด และอาจรุนแรงถึงขั้นเป็นมะเร็งผิวหนังได้

ผลกระทบต่อดวงตา ร่างกายสร้างอวัยวะและกลไกต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อปกป้องดวงตา ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว ขนตา หรือการหดและขยายรูม่านตา อย่างไรก็ตาม กลไกเหล่านี้ป้องกันดวงตาจากรังสียูวีได้อย่างจำกัด ผู้ที่ต้องเผชิญกับรังสียูวีปริมาณสูงอย่างต่อเนื่องอาจเกิดผลกระทบต่อดวงตา ดังนี้

ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน รังสียูวีอาจอันตรายต่อ DNA และส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และเป็นปัจจัยก่อให้เกิดโรคมะเร็งตามมา นอกจากนี้ การได้รับรังสียูวีในปริมาณสูงยังส่งผลให้วัคซีนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทั้งยังมีงานวิจัยอ้างว่ารังสียูวีบีส่งผลให้ร่างกายควบคุมไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคเริมได้น้อยลง ทำให้ผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคเริมมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ

การป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต

การป้องกันด้วยวิธีง่าย ๆ อย่างถูกต้องเพียงไม่กี่วิธีอาจช่วยลดความเสี่ยงจากการได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตได้ ดังนี้