ยากดการหายใจ (Drug-induced respiratory depression)

การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์



ยากดการหายใจ

ยากดการหายใจหมายความอย่างไร?

ยากดการหายใจ(Drug-induced respiratory depression)หมายถึง ยาที่ออกฤทธิ์กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลางที่ทำงานควบคุมอวัยวะระบบหายใจ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ชนิดรุนแรง คือ การกดการทำงานของศูนย์ควบคุมการหายใจในสมองส่วนเมดัลลาออบลองกาตา(Medulla Oblongata) ส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีอาการ ง่วงซึม หายใจช้า หรือหายใจน้อยกว่าปกติ หายใจตื้น หายใจเบา ซึ่งถ้ามีอาการรุนแรง อาจทำให้ผู้ป่วยหยุดหายใจและเสียชีวิตได้

ยากดการหายใจแบ่งเป็นกี่ประเภท?

ยากดการหายใจ แบ่งตามกลุ่ม/ประเภทยาได้ดังนี้

ก. ยาสลบ (General anesthetics): ได้แก่

ข. ยานอนหลับและยาคลายกังวล(Hypnotics and anxiolytics): ได้แก่

ค. ยาระงับปวด/ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ (Opioid Analgesics): เช่นยา โคเดอีน (Codeine), เฟนทานิล (Fentanyl), เมทาโดน (Methadone), มอร์ฟีน (Morphine), เพทิดีน (Pethidine), ทรามาดอล (Tramadol), บิวพรีนอร์ฟีน (Buprenorphine)

ยากดการหายใจมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?

ยากดการหายใจมีรูปแบบการจัดจำหน่าย ดังนี้

อนึ่ง อ่านเรื่องรูปแบบของยาแผนปัจจุบันเพิ่มเติมได้ในเว็บ บทความเรื่อง “รูปแบบยาเตรียม”

มีข้อบ่งใช้ยากดการหายใจอย่างไร?

มีข้อบ่งใช้ยากดการหายใจ เช่น

1. ยาสลบ: ใช้นำสลบเพื่อการผ่าตัด ใช้กล่อมประสาทขณะผ่าตัดหรือใส่ในเครื่องช่วยหายใจ ช่วยให้ผู้ป่วยหมดสติ หลงลืมชั่วคราว ไม่รู้สึกเจ็บปวด ไม่เคลื่อนไหว กล้ามเนื้อคลายตัว

2. ยากลุ่ม Benzodiazepines: ใช้ระยะสั้นสำหรับบรรเทาอาการวิตกกังวลขั้นรุนแรง, วิตกกังวลก่อนการผ่าตัด, อาการนอนไม่หลับที่เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวล, ใช้เป็นยาคลายกล้ามเนื้อ, ยารักษาโรคลมชัก, และใช้รักษาอาการขาดแอลกอฮอล์(Alcohol withdrawal syndrome)

3. ยากลุ่ม Barbiturates: ใช้รักษาอาการนอนไม่หลับขั้นรุนแรงที่ดื้อต่อการรักษาด้วยยานอนหลับกลุ่มอื่น, รักษาโรคลมชัก, และใช้เป็นยาสลบชนิดฉีด

4. ยาระงับปวดโอปิออยด์: ใช้บรรเทาอาการปวดระดับปานกลางถึงรุนแรง เช่น อาการปวดจากโรคมะเร็ง และระงับปวดในการผ่าตัด

มีข้อห้ามใช้ยากดการหายใจอย่างไร?

มีข้อห้ามใช้ยากดการหายใจ เช่น

1. ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ยานั้นๆ หรือมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรง (Hypersensitivity) ต่อยานั้นๆ

2. ห้ามใช้ยาดมสลบชนิด Sevoflurane, Desflurane, และ Isoflurane ในผู้ที่มีภาวะขาดน้ำหรือเสียเลือดอย่างรุนแรง (Severe hypovolemia) และห้ามใช้ในผู้ที่มีโอกาสเกิดภาวะแพ้ยาสลบที่เรียกว่า ภาวะไข้สูงอย่างร้าย(Malignant hyperthermia)

3. ห้ามใช้ยากลุ่ม Benzodiazepines, Barbiturates, และยาระงับปวดโอปิออยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะทำให้เกิดการติดยาหรือการชินยา(Tolerance,ต้องใช้ขนาดยาสูงขึ้นจึงจะควบคุมอาการโรคได้ จึงอาจเกิดอันตรายจากการได้ยาเกินขนาด)

4. ห้ามหยุดยากลุ่ม Benzodiazepines และ Barbiturates ด้วยตนเอง เพราะการหยุดยากลุ่มเหล่านี้ แพทย์ต้องค่อยๆปรับลดขนาดยาลงทีละน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการถอนยา

5. ห้ามใช้ยาระงับปวดชนิดโอปิออยด์ในผู้ป่วยที่การหายใจถูกกดอย่างเฉียบพลัน, มีความดันในกะโหลกศีรษะสูง, ผู้ได้รับการบาดเจ็บที่ศีรษะ, ภาวะโคม่า, ภาวะช็อก, ผู้ป่วยโรคฟีโอโครโมไซโตมา (Pheochromocytoma)

มีข้อควรระวังการใช้ยากดการหายใจอย่างไร?

มีข้อควรระวังการใช้ยากดการหายใจ เช่น

1. ระวังการใช้ยากดการหายใจในผู้ที่ขับขี่ยานยนต์ ผู้ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล หรือทำงานที่เสี่ยงต่อการพลัดตกจากที่สูง เนื่องจากยามีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึม และทำให้ความสามารถในการตัดสินใจลดลง

2. ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยากดการหายใจร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือยาที่มีฤทธิ์ทำให้ง่วงซึม เช่น ยาแก้แพ้ เพราะจะยิ่งเสริมฤทธิ์ง่วงซึมจากยา

3. ถ้าต้องใช้ยากดการหายใจร่วมกันตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป อาจทำให้ยา เสริมฤทธิ์กัน จึงควรต้องเฝ้าระวังการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยาที่ใช้อย่างใกล้ชิด

4. ระวังการใช้ยากดการหายใจในผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับและของไตผิดปกติ เพราะอาจทำให้อาการของโรคแย่ลง

5. ระวังการใช้ยากลุ่ม Benzodiazepines ในผู้ที่มีโรคในระบบทางเดินหายใจ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคพอร์ฟีเรีย(Porphyria,โรคทางพันธุกรรมที่พบได้น้อยมาก ที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของเม็ดเลือดแดง) เพราะอาจทำให้อาการของโรคดังกล่าวเหล่านั้นแย่ลง และในผู้ป่วยที่มีประวัติการติดยาหรือติดสุรา ด้วยเหตุ เพราะจะทำให้ผู้ป่วยติดยากลุ่มBenzodiazepinesได้ง่ายขึ้น

6. หากจำเป็นต้องใช้ยากลุ่ม Barbiturates ติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรตรวจนับเม็ดเลือด(การตรวจ CBC)เป็นระยะตามที่แพทย์เห็นสมควร เพราะยากลุ่มนี้อาจทำให้เกิดความผิดปกติของระบบเลือด เช่น ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ หรือเกล็ดเลือดต่ำ ซึ่งหากพบความผิดปกติ เช่น มีไข้ เจ็บคอ มีการติดเชื้อ หรือมีเลือดออกผิดปกติ(เช่น เหงือกเลือดออก) ต้องหยุดยานี้และรีบไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลทันที

7. ระวังการใช้ยาระงับปวดโอปิออยด์ในผู้ที่มีระบบหายใจผิดปกติ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease, COPD), ความดันโลหิตต่ำ, ต่อมลูกหมากโต, ลมชัก, เพราะอาจทำให้อาการของโรคดังกล่าวเหล่านั้นแย่ลง และระวังการใช้ในผู้ป่วยที่มีประวัติการติดยาต่างๆ เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยนำยากลุ่มโอปิออยด์ มาใช้อย่างไม่เหมาะสม (ใช้เป็นยาเสพติด) จนส่งผลให้เกิดอันตรายต่อตัวผู้ป่วยเอง

การใช้ยากดการหายใจในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็นอย่างไร?

การใช้ยากดการหายใจในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรเป็น ดังนี้ เช่น

1. ระวังการใช้ยาสลบในหญิงตั้งครรภ์/หญิงมีครรภ์ เพราะยาสลบสามารถผ่านรกไปยังทารกในครรภ์ได้ และหากหญิงตั้งครรภ์ได้รับยานี้ขนาดสูงเกินไปขณะนำสลบเพื่อผ่าท้องคลอด อาจทำให้ยากดการหายใจของทารกในครรภ์ จนเกิดอันตรายต่อทารกได้

2. ห้ามใช้ยากลุ่ม Benzodiazepines และ Barbiturates ในหญิงมีครรภ์ เพราะอาจทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ หรือเกิดการถอนยาในทารกแรกเกิด ควรใช้เมื่อจำเป็นจริงๆเท่านั้น เช่น ใช้ควบคุมอาการชัก เพราะถ้าผู้ป่วยชักอาจทำให้ทารกในครรภ์ขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตได้

3. ระวังการใช้ยาระงับปวดโอปิออยด์ในหญิงมีครรภ์ ควรใช้ในระยะเวลาสั้นที่สุด และขนาดยาต่ำที่สุด เพราะการใช้ยานี้ในระยะยาว อาจทำให้ยากดการหายใจในทารกในครรภ์ หรือเกิดอาการถอนยาในทารกแรกเกิด จนเกิดอันตรายต่อทารกได้

การใช้ยากดการหายใจในผู้สูงอายุควรเป็นอย่างไร?

การใช้ยากดการหายใจในผู้สูงอายุควรเป็นดังนี้ เช่น

1. วัยสูงอายุ เป็นวัยที่มีการทำงานของตับและของไตลดลง หรืออาจเป็นโรคตับและ/หรือโรคไต ส่งผลให้ความสามารถในการทำลายยาและขับยาออกจากร่างกายลดลง ดังนั้น การใช้ยากดการหายใจในผู้สูงอายุจึงควรปรับลดขนาดยาเริ่มต้นลง เพื่อลดโอกาสเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา เช่น ยากลุ่ม Benzodiazepines และ Barbiturates ที่อาจทำให้เกิดอาการ ง่วงซึม เดินเซ สับสน และทำให้ผู้สูงอายุหกล้มได้รับบาดเจ็บได้

2. ผู้สูงอายุมักใช้ยารักษาโรคประจำตัวหลายชนิด จึงควรแจ้งแพทย์ พยาบาล และเภสัชกร ว่ากำลังใช้ยาใดอยู่เป็นประจำ เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา (Drug interaction) ตัวอย่างเช่น ยากลุ่ม Barbiturates มีคุณสมบัติเป็นตัวเหนี่ยวนำเอนไซม์ (Enzyme inducer) จึงมีผลลดระดับยาอื่นๆในกระแสเลือดจนอาจส่งผลให้ยาเหล่านั้นด้อยประสิทธิภาพลง เช่นยา Warfarin, ยากลุ่ม Corticosteroids, ยาTheophylline เป็นต้น ดังนั้น แพทย์จึงอาจต้องปรับขนาดการใช้ยาต่างๆให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

การใช้ยากดการหายใจในเด็กควรเป็นอย่างไร?

การใช้ยากดการหายใจในเด็กควรเป็นดังนี้ เช่น

1. การใช้ยากดการหายใจในเด็ก แพทย์จะเริ่มจากขนาดต่ำๆ แล้วจึงค่อยๆปรับขนาดยาขึ้น เพราะเด็กมีความไว/การตอบสนองต่อยามากกว่าผู้ใหญ่ จึงมีโอกาสเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยาได้ง่าย

2. ไม่ควรใช้ยาระงับปวดโอปิออยด์ในเด็กหากมีอาการปวดไม่รุนแรง ควรเลือกใช้ยาแก้ปวดกลุ่มอื่น เช่นยา Paracetamol หรือยากลุ่ม NSIADs แทน

อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยากดการหายใจเป็นอย่างไร?

อาการไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง)จากการใช้ยากดการหายใจ นอกจากอาการไม่พึงประสงค์ชนิดรุนแรง คือการกดการหายใจแล้ว ยากลุ่มนี้ยังพบอาการไม่พึงประสงค์อื่นๆ ดังนี้ เช่น

1. ยาสลบ: ทำให้มีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหลัง หนาวสั่น ปวดศีรษะ สับสน หลงลืมชั่วคราว มึนงง ปัสสาวะลำบาก/ปัสสาวะขัด ติดเชื้อที่ปอด/ปอดอักเสบ ผื่นแพ้ที่ผิวหนัง

2. ยากลุ่ม Benzodiazepines: ทำให้มีอาการ ง่วงซึม ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ บ้านหมุน กระสับกระส่าย สับสน หลงลืมชั่วคราว ความดันโลหิตต่ำ กลั้นปัสสาวะไม่ได้

3. ยากลุ่ม Barbiturates: ทำให้มีอาการง่วงซึม เดินเซ กระสับกระส่าย เกิดรอยฟกช้ำ/ห้อเลือด หรือเลือดออกง่าย ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ความดันโลหิตต่ำ ปัสสาวะลำบาก ผื่นแพ้บริเวณผิวหนัง ผื่นแพ้แสงแดด(Photosensitivity)

4. ยาระงับปวดโอปิออยด์: ทำให้เกิดอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม มึนงง ปากแห้ง ท้องผูก ใจสั่น ความดันโลหิตต่ำ ติดยา

สรุป

ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด(รวมยากดการหายใจ) ยาแผนโบราญทุกชนิด อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะ ยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิด ควรต้องปฏิบัติตาม ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน

บรรณานุกรม

  1. คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ. คู่มือการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ตามบัญชียาหลักแห่งชาติเล่ม 1 ยาระบบทางเดิน
  2. คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ. ยาที่ใช้ทางวิสัญญีวิทยาและการระงับปวด [2016,Dec31]
  3. พยอม ตันติวัฒน์ ศูนย์วิจัยยาเสพติด สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ยาแก้ปวดชนิดเสพติด (Narcotic analgesics). [2016,Dec31]
  4. ปิยะดา บุญทรง ภาควิชาวิสัญญีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. Opioids [2016,Dec31]