ม่านตาอักเสบ อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคม่านตาอักเสบ 9 วิธี

ม่านตาอักเสบ

ม่านตาอักเสบ (Iritis) เป็นโรคที่พบได้น้อย สามารถพบเกิดได้ในคนทุกวัย แต่จะพบได้มากในคนวัยหนุ่มสาว โดยเป็นการอักเสบของม่านตาที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดตา เคืองตา น้ำตาไหล ตามัว ตาแดงในส่วนรอบ ๆ ตาดำ ถือเป็นภาวะอันตรายที่ต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสมและทันท่วงที เพราะอาจทำให้มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงเกิดขึ้นตามมาได้

ในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคนี้ปีละประมาณ 350,000 คน และเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดได้มากถึง 10% ของทั้งหมด จากการศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่า โรคนี้มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างน้อย 3 เท่า

สาเหตุของโรคม่านตาอักเสบ

สาเหตุการอักเสบของม่านตาอาจมีได้หลายอย่าง เนื่องจากม่านตามีการติดต่อกับระบบอื่นของร่างกายโดยผ่านกระแสเลือด ดังนั้น โรคของระบบต่าง ๆ ที่เป็นอยู่บางโรคอาจทำม่านตาอักเสบไปด้วยได้ เช่น

อาการของโรคม่านตาอักเสบ

ม่านตาอักเสบ
IMAGE SOURCE : www.iritis.org
ม่านตาอักเสบอาการ
IMAGE SOURCE : smokephotographist.wordpress.com
รูปม่านตาอักเสบ
IMAGE SOURCE : smokephotographist.wordpress.com

ภาวะแทรกซ้อนของโรคม่านตาอักเสบ

การวินิจฉัยโรคม่านตาอักเสบ

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากประวัติอาการ ประวัติทางการแพทย์ต่าง ๆ (เช่น อุบัติเหตุ โรคประจำตัว) การตรวจร่างกาย การตรวจตา และการตรวจสืบค้นเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุหรือหาโรคต่าง ๆ ที่เป็นร่วมกับม่านตาอักเสบ เช่น การตรวจเลือด, การตรวจเอกซเรย์, การตรวจสอบทางผิวหนัง, การตรวจสารทางพันธุกรรมด้วยเทคนิค PCR (Polymerase chain reaction) และการตรวจอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์และอาการของผู้ป่วย

ในผู้ป่วยม่านตาอักเสบแพทย์มักตรวจพบว่า บริเวณตาขาวที่อยู่ใกล้กับตาดำมีลักษณะแดงเรื่อ ๆ โดยที่ผู้ป่วยไม่มีขี้ตาหรือน้ำตาผิดปกติ ส่วนรูม่านตาอาจพบว่ามีขนาดเล็กกว่าตาข้างที่ปกติ หรือขอบไม่เรียบ และกระจกตา (ตาดำ) อาจมีลักษณะขุ่นเล็กน้อย

อาการปวดตาและตาแดง อาจเกิดจากสาเหตุที่ไม่รุนแรง เช่น เยื่อตาขาวอักเสบ หรือเกิดจากสาเหตุที่รุนแรงก็ได้ เช่น ต้อหิน แผลกระจกตา ม่านตาอักเสบ เป็นต้น ซึ่งแพทย์จะสามารถวินิจฉัยแยกกลุ่มโรคที่รุนแรงออกจากกลุ่มโรคที่ไม่รุนแรงได้ โดยกลุ่มโรคที่รุนแรงจะตรวจพบว่าผู้ป่วยมีอาการตามัว รูม่านตาทั้งสองข้างไม่เท่ากัน กระจกตาขุ่นหรือเป็นฝ้าขาว ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะมาก เป็นต้น ซึ่งหากพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยด่วน

วิธีรักษาโรคม่านตาอักเสบ

  1. หากสงสัยว่าเป็นโรคนี้หรือเมื่อมีอาการปวดตา ตาแดง ตามัว ควรไปพบแพทย์/จักษุแพทย์ที่โรงพยาบาลทันทีเพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาไปตามสาเหตุที่ตรวจพบ
  1. แพทย์จะให้ยาหยอดตาที่มีฤทธิ์ทำให้รูม่านตาขยาย เช่น ยาหยอดตาอะโทรปีน (Atropine eye drop) ชนิด 1% ใช้หยอดตาเพื่อช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อม่านตา (ทำให้ม่านตาได้พักบรรเทาอาการปวด) ทำให้อาการปวดตาน้อยลง ตาแดงน้อยลง และป้องกันการยึดติดระหว่างม่านตาที่อักเสบกับแก้วตาที่อยู่ข้างหลัง ซึ่งอาจมีผลทำให้เกิดต้อหินตามมาได้ (ยาหยอดตาชนิดนี้อาจทำให้เกิดอาการตาพร่ามัวได้ แต่จะหายไปได้เองหลังจากหยุดใช้ยาประมาณ 1-2 สัปดาห์ และที่สำคัญห้ามนำไปใช้กับคนที่เป็นโรคต้อหินหรือมีความดันในลูกตาสูง ควรใช้ยานี้กับผู้ป่วยเฉพาะตัวตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น ห้ามนำไปใช้กับผู้อื่น)
  2. แพทย์อาจให้ใช้ยาหยอดตาสเตียรอยด์ (Steroid eye drops) ร่วมด้วยเพื่อช่วยลดอาการอักเสบของตา (ยาหยอดตาจะช่วยลดการอักเสบได้อย่างรวดเร็ว แต่ต้องระวังในกรณีที่มีสาเหตุการเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส)
  3. ในกรณีที่ยาหยอดตาสเตียรอยด์ไม่สามารถช่วยควบคุมการอักเสบอย่างได้ผล แพทย์อาจใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดฉีดแทน โดยการฉีดเข้าบริเวณข้าง ๆ ลูกตาในกระบอกตา และสามารถฉีดซ้ำได้เป็นระยะ ๆ ทุก 2-6 สัปดาห์ แล้วแต่ชนิดของยาฉีดและการอักเสบของตาว่าควบคุมได้ผลเพียงใด
  4. ในกรณีที่การหยอดตาและการฉีดยาสเตียรอยด์ไม่ได้ผล แพทย์อาจให้ยาสเตียรอยด์ชนิดรับประทาน หลังจากควบคุมการอักเสบได้แล้วจึงค่อย ๆ ลดปริมาณยาลงอย่างช้า ๆ ไม่ควรหยุดยาในทันที เพราะอาจทำให้โรคกำเริบขึ้นได้อีก
  5. นอกจากยากลุ่มสเตียรอยด์ทั้ง 3 รูปแบบแล้ว ถ้าใช้ยาสเตียรอยด์เหล่านี้ไม่ได้ผล แพทย์อาจให้ใช้ยากลุ่มที่กดระบบภูมิคุ้มกันในการรักษาโรคก็ได้ แต่ยากลุ่มนี้ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อระบบเลือด ตับ ไต และระบบน้ำเหลืองได้ จึงต้องใช้ยาด้วยความระมัดระวัง (ถ้าม่านตาอักเสบมีสาเหตุมาจากภูมิไวเกินหรือไม่ทราบสาเหตุ การรักษาด้วยยากลุ่มสเตียรอยด์ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าเป็นจากโรคภูมิคุ้มกันไวเกินและมีอาการทั่วร่างกาย รวมถึงที่ตาด้วย ต้องรักษาด้วยยากดระบบภูมิคุ้มกัน)
  6. ในรายที่ม่านตาอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะให้ใช้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย
  7. รักษาโรคต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุหรือที่เกิดร่วมกับม่านตาอักเสบ เช่น การรักษาโรคซิฟิลิส เริม งูสวัด วัณโรค มะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น
  8. คำแนะนำในการดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคม่านตาอักเสบ คือ
    • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    • รับประทานยาต่าง ๆ ตามที่แพทย์สั่งให้ถูกต้อง ครบถ้วน และไม่ขาดยา
    • ควบคุมรักษาโรคที่เป็นหรืออาจเป็นสาเหตุอย่างจริงจัง
    • ไปพบแพทย์ตามนัดเสมอ และไปพบแพทย์ก่อนนัดเมื่ออาการต่าง ๆ เลวลง รวมถึงอาการจากโรคต่าง ๆ และ/หรืออาการทางตา หรือมีอาการใหม่เกิดขึ้น หรือเมื่อมีความกังวลในอาการที่เป็นอยู่

คำแนะนำเกี่ยวกับโรคม่านตาอักเสบ

วิธีป้องกันโรคม่านตาอักเสบ

การป้องกันโรคนี้ที่สามารถทำได้คือ การปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันการติดเชื้อเช่นเดียวกับโรคติดเชื้ออื่น ๆ ซึ่งที่สำคัญ คือ

  1. รักษาสุขอนามัยพื้นฐานให้ดีโดยการปฏิบัตตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติ
  2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่ในทุกวัน
  3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตามควรแก่สุขภาพ
  4. ไปตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์เป็นประจำ
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “ม่านตาอักเสบ (Iritis/Anterior uveitis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 962-963.
  2. ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ.  “ม่านตาอักเสบ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.bangkokhealth.com.  [18 ธ.ค. 2016].
  3. หาหมอดอทคอม.  “ยูเวียอักเสบ การอักเสบของยูเวีย (Uveitis)”.  (ศ.เกียรติคุณ พญ.สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [18 ธ.ค. 2016].
  4. ศูนย์ตาธรรมศาสตร์.  “โรคม่านตาอักเสบ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.tec.in.th.  [19 ธ.ค. 2016].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 ม่านตาอักเสบ
  • 2 สาเหตุของโรคม่านตาอักเสบ
  • 3 อาการของโรคม่านตาอักเสบ
  • 4 ภาวะแทรกซ้อนของโรคม่านตาอักเสบ
  • 5 การวินิจฉัยโรคม่านตาอักเสบ
  • 6 วิธีรักษาโรคม่านตาอักเสบ
  • 7 คำแนะนำเกี่ยวกับโรคม่านตาอักเสบ
  • 8 วิธีป้องกันโรคม่านตาอักเสบ
  • 9 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ