มะเร็งเม็ดเลือดขาว (ลูคีเมีย) การรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว 8 วิธี

มะเร็งเม็ดเลือดขาว

มะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า โรคลูคีเมีย หรือ ลิวคีเมีย (Leukemia) คือ มะเร็งที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวตัวอ่อนในไขกระดูกมีการเจริญแบ่งตัวเร็วผิดปกติและกลายเป็นเซลล์ผิดปกติ (ทำให้ไม่สามารถเจริญเป็นเม็ดเลือดขาวตัวแก่ที่ทำหน้าที่แบบเม็ดเลือดขาวปกติ และมีการแก่ตัวและเซลล์ตายช้ากว่าปกติ แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีของปริมาณเม็ดเลือดขาวปกติหรือต่ำกว่าปกติได้) และสามารถแพร่กระจายแทรกซึมไปอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ ได้ เช่น ต่อมน้ำเหลือง สมอง ตับ ม้าม อัณฑะ ผิวหนัง กระดูก รวมทั้งแทรกซึมในไขกระดูก ทำลายกระบวนการสร้างเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือดในไขกระดูก ก่อให้เกิดอาการและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จนเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้ ดังนั้น อาการของโรคจึงเกิดจากความผิดปกติของทั้งเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด

มะเร็งเม็ดเลือดขาวจัดเป็นโรคมะเร็งที่มีความรุนแรงสูงและพบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย ทั่วโลกในปี พ.ศ.2543 พบผู้ป่วยเป็นโรคนี้ประมาณ 256,000 ราย และในจำนวนนี้เสียชีวิตมากถึง 209,000 ราย ส่วนในประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2544-2546 พบโรคนี้อยู่ใน 10 ลำดับโรคมะเร็งพบบ่อยทั้งในเพศชาย (4,205 ราย) และเพศหญิง (3,437 ราย)

ชนิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาว

มะเร็งเม็ดเลือดขาวมีอยู่หลายชนิด โดยหลัก ๆ จะแบ่งออกเป็น

มะเร็งเม็ดโลหิตขาว
IMAGE SOURCE : ghr.nlm.nih.gov

แต่หากแบ่งตามชนิดของเซลล์ต้นกำหนดของโรคจะสามารถแบ่งเป็นเซลล์ที่จะเจริญเป็นเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ (Lymphocyte) และเซลล์ที่จะเจริญเป็นเม็ดเลือดขาวชนิดอื่นรวมทั้งเม็ดเลือดแดงและเกล็ดขาว (Myeloid cell / Myelocyte) ดังนั้น มะเร็งเม็ดเลือดขาวจึงแบ่งออกเป็น 4 ชนิดใหญ่ ๆ ซึ่งทุกชนิดสามารถพบได้ในคนทุกวัย แต่อาจพบได้ในเด็กหรือผู้ใหญ่แตกต่างกันไป ดังนี้

  1. มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดเอแอลแอล (Acute lymphoblastic leukemia หรือ Acute lymphocytic leukemia หรือ Acute lymphoid leukemia หรือเรียกย่อว่า ALL) เป็นชนิดที่พบได้ในทุกช่วงอายุ ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่พบได้บ่อยที่สุดในเด็กอายุ 2-5 ปี (พบได้ประมาณ 70-80% ของมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็กทั้งหมด)
  2. มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดเอเอ็มแอล (Acute myelogenous leukemia หรือ Acute myeloid leukemia หรือเรียกย่อว่า AML) เป็นชนิดที่พบได้มากที่สุด โดยพบได้ประมาณ 15-20% ของผู้ป่วยเด็กทั้งหมดที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือด ซึ่งในช่วงอายุ 4 สัปดาห์แรกหลังคลอด ถ้าพบเด็กเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดก็มักจะพบว่าเป็นชนิดนี้ และจะพบได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดนี้จึงพบได้ในผู้ใหญ่มากกว่าในเด็ก พบได้สูงในกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และพบในผู้ชายบ่อยกว่าผู้หญิง ทั้งนี้ในผู้ใหญ่จะเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดนี้ประมาณ 80-90%
  3. มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดซีแอลแอล (Chronic lymphocytic leukemia หรือเรียกย่อว่า CLL) เป็นชนิดที่พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ และมีความชุกของโรคมากขึ้นตามอายุ พบได้มากในกลุ่มอายุมากกว่า 55-60 ปี
  4. มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิดซีเอ็มแอล (Chronic myelogenous leukemia หรือ Chronic myeloid leukemia หรือ Chronic myelocytic leukemia หรือเรียกย่อว่า CML) เป็นชนิดที่พบได้น้อย พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่จะพบได้บ่อยในผู้ใหญ่ที่มีอายุประมาณ 40-60 ปี มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย (ประมาณ 1.3 ต่อ 1) และในผู้ป่วยเด็กนั้นประมาณ 80% มักพบในเด็กอายุมากกว่า 4 ปี
ชนิดของโรคลูคีเมีย
IMAGE SOURCE : mtviewmirror.com

สาเหตุของมะเร็งเม็ดเลือดขาว

ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่พบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (จากการศึกษาระบุว่าน่าจะมาจากหลายปัจจัยร่วมกัน) ซึ่งปัจจัยที่สำคัญจะแบ่งออกได้เป็น 3 ปัจจัยหลัก ๆ คือ

  1. ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม
    • เด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรม (Down’s syndrome) ซึ่งเป็นโรคผิดปกติทางพันธุกรรม พบว่าจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL และ AML มากกว่าคนปกติ
    • เด็กที่มีความผิดปกติของโครโมโซมบางชนิด โดยเฉพาะโรคทางพันธุกรรมชนิด Bloom’s syndrome และชนิด Fanconi’s anemia พบว่าจะมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด AML ได้สูงกว่าเด็กปกติ
    • ครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL พบว่าจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงกว่าคนทั่วไปประมาณ 2-4 เท่า
    • ในฝาแฝดที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL โดยเฉพาะเมื่อเป็นโรคตั้งแต่อายุยังน้อย พบว่าจะทำให้ฝาแฝดอีกคนหนึ่งมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ประมาณ 25%
    • ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CML ประมาณ 90-95% จะตรวจพบว่ามีโครโมโซมที่ผิดปกติ (เรียกว่า “Philadelphia chromosome”) ซึ่งเป็นความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 9 และคู่ที่ 22 ซึ่งส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดปกติกลายเป็นเซลล์ตัวอ่อนมีการเจริญแบ่งตัวเร็วผิดปกติและกลายเป็นเซลล์ผิดปกติ
  2. ปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม
    • การมีประวัติได้รับสีไออนไนซ์ (Ionizing radiation) ซึ่งเป็นรังสีที่ใช้ในการตรวจและรักษาในปริมาณสูง เช่น ในเด็กที่รับรังสีรักษาในขณะอยู่ในครรภ์จากการตรวจโรคของมารดา
    • การมีประวัติได้รับยาเคมีบำบัดในการรักษาโรคมะเร็งชนิดอื่นมาก่อน บางรายก็อาจพบว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเวลาหลายปีต่อมา
    • การมีประวัติได้รับสารกัมมันตรังสีในปริมาณที่ไม่ถึงกับทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต แต่ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นกับหน่วยพันธุกรรมของเซลล์ไขกระดูก เมื่อเวลาไปประมาณ 5-10 ปี หรือนานกว่านี้ ความเสียหายบางอย่างอาจขยายตัวขึ้นและทำให้มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ เช่น ในผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูหรืออุบัติเหตุจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เพราะพบผู้ป่วยมากขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีการใช้ระเบิดปรมาณู
    • การสัมผัสสารเคมีที่เป็นพิษบางชนิด โดยเฉพาะสารเบนซิน (Benzene) สารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) เป็นต้น เพราะพบว่าคนกลุ่มนี้จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้สูงกว่าคนทั่วไป
    • อาจเกิดจากการได้รับสารเคมีต่าง ๆ ที่เป็นพิษจากสิ่งแวดล้อม ถึงแม้การศึกษายังระบุชนิดได้ไม่ชัดเจน รวมทั้งอาจเกิดจากควันบุหรี่และการสูบบุหรี่
  3. ปัจจัยจากภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง
    • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่องมาแต่กำเนิด พบว่ามีโอกาสเป็นโรคมะเร็งเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL ได้สูงกว่าเด็กทั่วไป
    • การได้รับยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค พบว่ามีโอกาสเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันได้สูงกว่าเด็กทั่วไป
    • การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเอชทีแอลวี-1 (Human T-cell lymphotropic virus type 1 หรือเรียกย่อว่า HTLV-1) หรือเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) พบว่ามีโอกาสเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL ได้สูงกว่าคนปกตื

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายก็สามารถเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้โดยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงใด ๆ เลย

อาการของมะเร็งเม็ดเลือดขาว

อาการลูคีเมีย
IMAGE SOURCE : www.medscape.com, leukaemiaunveiled.com, cancerwall.com
อาการมะเร็งเม็ดเลือดขาว
IMAGE SOURCE : ww.healthline.com

การแยกโรค

ระยะของมะเร็งเม็ดเลือดขาว

ไม่มีการจัดระยะของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (ยกเว้นชนิด CLL) เหมือนในโรคมะเร็งอื่น ๆ เพราะโรคนี้เป็นโรคที่เกิดในไขกระดูก เมื่อตรวจพบโรคจะแพร่กระจายในไขกระดูกทั่วตัวอยู่แล้ว แต่แพทย์จะแบ่งโรคตามความรุนแรงออกเป็นกลุ่มที่มีความรุนแรงปานกลางและกลุ่มที่มีความรุนแรงสูง โดยแพทย์จะประเมินจากปัจจัยต่าง ๆ หลายอย่าง เช่น ปริมาณของเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือดของผู้ป่วยที่ตรวจในครั้งแรกจากการตรวจเลือดซีบีซี (ถ้าพบผิดปกติมาก ความรุนแรงของโรคก็สูง), ชนิดของเซลล์มะเร็ง (ชนิด AML จะมีความรุนแรงกว่าชนิด ALL), อายุของผู้ป่วย (ในเด็กอ่อนและผู้สูงอายุจะมีความรุนแรงของโรคสูงกว่า), การมีความผิดปกติทางพันธุกรรมร่วมด้วย รวมถึงการมีโรคแพร่กระจายเข้าสู่เนื้อเยื่ออื่น ๆ นอกเหนือจากไขกระดูกหรือไม่ (เช่น ต่อมน้ำเหลือง ตับ ม้าม สมอง โดยเฉพาะเมื่อแพร่กระจายเข้าสู่สมองจะมีความรุนแรงของโรคสูง)

สำหรับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CLL จะแบ่งออกเป็น 5 ระยะ คือ

ภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งเม็ดเลือดขาว

ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยของโรคนี้ ได้แก่ การติดเชื้อแทรกซ้อน และการตกเลือด ส่วนที่เป็นอันตรายร้ายแรงจนถึงชั้นเสียชีวิตได้ก็คือ เลือดออกในสมอง และภาวะโลหิตเป็นพิษ

ในรายที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL อาจมีต่อมไทมัสโตกดท่อลม (ทำให้หายใจลำบาก) หรือท่อเลือดดำส่วนบน (ทำให้คอและแขนบวม)

ในรายที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด AML และ Acute promyelocytic leukemia อาจเกิดภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย (Disseminated intravascular coagulation) ซึ่งอาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้

ในรายที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CLL อาจกลายเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดร้ายแรง หรือมีโรคมะเร็งปอดหรือผิวหนังเกิดขึ้นตามมาได้

การวินิจฉัยมะเร็งเม็ดเลือดขาว

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้จากการตรวจ

การรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว

วิธีการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว โดยทั่วไปจะใช้การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดเป็นหลัก รังสีรักษาและการปลูกถ่ายไขกระดูกหรือปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด จะเป็นการรักษาเสริมเพื่อให้ผลการรักษาดีขึ้นหรือหาย ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาว การตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด และอายุของผู้ป่วย โดยการรักษานั้นจะประกอบไปด้วย

  1. การรักษาตามอาการและแก้ไขภาวะแทรกซ้อน เช่น การให้เลือด ให้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านจุลชีพเพื่อรักษาโรคติดเชื้อ เป็นต้น เป็นการรักษาที่มีความสำคัญอย่างมากตั้งแต่ในระยะแรก (โดยเฉพาะในโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน) เพราะในช่วงแรกที่ได้รับการวินิจฉัยผู้ป่วยมักมีความผิดปกติหลายอย่าง เช่น มีไข้สูง ซีด อ่อนเพลีย มีเลือดออกผิดปกติ หายใจลำบาก ขาดน้ำ การทำงานของไตผิดปกติ เกิดการติดเชื้อ เป็นต้น แพทย์จึงจำเป็นต้องทำการรักษาภาวะต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อให้ผู้ป่วยมีสภาพร่างกายที่พร้อมก่อนที่จะให้การรักษาโรคต่อไป เพราะการให้ยาเคมีบำบัดในช่วงแรกที่มีภาวะเหล่านี้อาจทำให้เกิดผลกระทบจากฤทธิ์ของยาได้หลายอย่างและรุนแรง
  2. การเฝ้าติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิด (Watchful waiting) โดยที่ยังไม่ให้การรักษาใด ๆ ในโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CLL ถ้าผู้ป่วยยังไม่มีอาการ
  3. การให้ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) นอกจากแพทย์จะให้การรักษาตามอาการและแก้ไขภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ดังที่กล่าวไปแล้ว การรักษาที่จำเป็นและมีผลต่อการควบคุมโรค คือ การให้ยารักษามะเร็งหรือยาเคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวทุกราย (ยกเว้นในผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CLL ซึ่งอยู่ในระยะแรกที่ยังไม่มีอาการ โรคจะค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้า ๆ แพทย์จะเลือกให้การรักษาแบบประคับประคองและเฝ้าติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิด และจะเริ่มให้ยาเคมีบำบัดเมื่อผู้ป่วยมีอาการชัดเจนแล้วหรือมีการติดเชื้อซ้ำซาก เพราะในขณะที่ยังไม่มีอาการ การให้ยาเคมีบำบัดจะมีผลข้างเคียงซึ่งอาจไม่คุ้มกับประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับ) ซึ่งจะมีทั้งแบบกิน แบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำ และแบบฉีดเข้าทางน้ำไขสันหลัง ในปัจจุบันมียาเคมีบำบัดอยู่ด้วยกันหลายชนิด ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ตามความเหมาะสมกับชนิดและความรุนแรงของโรค ส่วนใหญ่จะใช้ยาหลายชนิดร่วมกันร่วม นอกจากนี้ยังมีการใช้ยาอื่น ๆ ร่วมกับยาเคมีบำบัดด้วย เช่น สารภูมิต้านทานกลุ่มโมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal antibody), ยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดง, ยาสเตียรอยด์อย่างเพรดนิโซโลน (Prednisolone) สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ALL, ยาอินเตอร์เฟอรอน (Interferon) สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CLL เป็นต้น
  4. การให้ยารักษาตรงเป้า (Targeted therapy) เป็นการรักษาด้วยยาหรือสารอื่นที่สามารถทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็งได้โดยไม่ทำลายเซลล์ปกติ แต่ยายังมีราคาแพงเกินกว่าผู้ป่วยทุกคนจะเข้าถึงได้ โดยยาที่มีการนำมาใช้ เช่น สารภูมิต้านทานกลุ่มโมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal antibody), ยายับยั้งเอนไซม์ไทโรซีนไคเนส (Tyrosine kinase inhibitor) เช่น อิมาทินิบ (Imatinib) เป็นต้น สำหรับยายับยั้งเอนไซม์ไทโรซีนไคเนส แพทย์จะใช้ในผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังชนิด CML และตรวจพบ Philadelphia chromosome (เป็นโครโมโซมที่มียีนผิดปกติ เป็นตัวกำหนดการสร้างไทโรซีนไคเนสซึ่งเป็นตัวเร่งการเจริญของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว) ซึ่งยาช่วยในการยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว ทำให้การรักษาได้ผลดีมากยิ่งขึ้น
  5. การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Biologic therapy) โดยการใช้ยาอินเตอร์เฟอรอน (Interferon) วิธีนี้สามารถใช้ได้กับเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง (CLL และ CML) ซึ่งยาไปกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่อต้านเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดนั่นเอง
  6. การเปลี่ยนถ่ายพลาสม่า (Leukapheresis) เพื่อลดจำนวนเม็ดเลือดขาวอย่างรวดเร็ว จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีจำนวนเม็ดเลือดขาวสูงมากหรือมีอาการของเม็ดเลือดขาวอุดตันตามหลอดเลือด (Hyperleukocytosis syndrome)
  7. การใช้รังสีรักษา (Radiation therapy) แพทย์จะพิจารณาฉายรังสีในผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันบางรายที่มีความเสี่ยงในการลุกลามเข้าสู่สมอง และในผู้ป่วยบางรายที่มีก้อนบวมมากเพราะเซลล์มะเร็งสะสม เช่น ตับโต ม้ามโต ก้อนที่อัณฑะ ต่อมน้ำเหลืองโต
  8. การปลูกถ่ายไขกระดูกหรือปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Bone marrow/Stem cell transplantation) โดยใช้ไขกระดูกหรือเซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดของผู้บริจาค (Allogeneic bone marrow/stem cell transplantation) หรืออาจใช้ไขกระดูกหรือเซลล์ต้นกำเนิดของผู้ป่วยเอง (Autologous bone marrow/stem cell transplantation) ซึ่งแพทย์จะทำการเก็บไขกระดูกหรือเซลล์ต้นกำเนิดในขณะที่ผู้ป่วยอยู่ในระยะโรคสงบ (Remission) ไว้ใช้ในภายหลัง (ปัจจุบันนิยมทำการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดมากกว่าไขกระดูก เพราะใช้เวลาฟื้นตัวสั้นกว่าและมีการติดเชื้อน้อยกว่า) การรักษาด้วยวิธีนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวหรือหายขาดจากโรคได้ แต่แพทย์อาจพิจารณทำในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีความรุนแรงของโรคสูง และในผู้ป่วยที่เกิดโรคกลับเป็นซ้ำ (Relapse) หลังจากให้ยาเคมีบำบัดจนโรคสงบไปสักระยะหนึ่งแล้ว
  9. การผ่าตัด เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคของไขกระดูกซึ่งเป็นทั่วตัว ดังนั้นจึงไม่สามารถทำการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคมะเร็งชนิดนี้ได้

การดูแลตนเองของผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว

ผลข้างเคียงจากการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว

ผลข้างเคียงจะขึ้นอยู่กับวิธีการรักษา และผลข้างเคียงจะสูงขึ้นเมื่อใช้หลายวิธีร่วมกัน และ/หรือผู้ป่วยเป็นเด็กทารก ผู้สูงอายุ มีสุขภาพไม่ดี สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ หรือมีโรคประจำตัวเรื้อรัง (เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคภูมิต้านตนเอง)

ผลการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว

ผลการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง อายุของผู้ป่วย ปริมาณของเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือดที่ตรวจครั้งแรก และความผิดปกติทางพันธุกรรม ดังนี้

การป้องกันมะเร็งเม็ดเลือดขาว

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันการเกิดโรคนี้ เนื่องจากเรายังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรค แต่มีคำแนะนำและวิธีที่อาจช่วยลดโอกาสเกิดโรคนี้ได้บ้าง คือ

การตรวจคัดกรองมะเร็งเม็ดเลือดขาว

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีตรวจคัดกรองให้พบโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ตั้งแต่ยังไม่มีอาการ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด คือ การหมั่นสังเกตตนเองอยู่เสมอ รวมทั้งสังเกตบุตรหลาน และรีบไปพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้น เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 735-738.
  2. National Cancer Institute.  “Leukemia”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.cancer.gov.  [24 พ.ค. 2017].
  3. หาหมอดอทคอม.  “มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia)”.  (ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [26 พ.ค. 2017].
  4. หาหมอดอทคอม.  “มะเร็งเม็ดเลือดขาว”.  (พญ.ชลศณีย์ คล้ายทอง).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [27 พ.ค. 2017].
  5. สาขาวิชาโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.  “โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว”.  (ผศ.นพ.นพดล  ศิริธนารัตนกุล).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [25 พ.ค. 2017].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 มะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • 2 ชนิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • 3 สาเหตุของมะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • 4 อาการของมะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • 5 การแยกโรค
  • 6 ระยะของมะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • 7 ภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • 8 การวินิจฉัยมะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • 9 การรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • 10 การดูแลตนเองของผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • 11 ผลข้างเคียงจากการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • 12 ผลการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • 13 การป้องกันมะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • 14 การตรวจคัดกรองมะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • 15 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ