มะเร็งรังไข่ (Ovarian cancer) อาการ สาเหตุ การรักษาโรคมะเร็งรังไข่ 5 วิธี

มะเร็งรังไข่

มะเร็งรังไข่ (Ovarian cancer) คือ โรคที่เกิดจากการที่มีเซลล์มะเร็งเจริญเติบโตในรังไข่* จัดเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตมากที่สุดของมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์ผู้หญิง เพราะผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ในระยะที่มะเร็งลุกลามไปมากแล้ว เนื่องจากโรคนี้ในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่มีอาการแสดง หรือมีอาการที่ไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นมะเร็งรังไข่ (พบว่า มีผู้ป่วยเพียง 25% เท่านั้นที่จะตรวจพบว่าเป็นมะเร็งรังไข่ได้ก่อนที่มะเร็งจะแพร่กระจาย ซึ่งการตรวจพบได้ในระยะแรกนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาโรคให้หายขาดได้)

มะเร็งรังไข่เป็นโรคที่พบได้บ่อยทั่วโลกรวมทั้งในผู้หญิงไทย (พบได้เป็นอันดับที่ 6 ของมะเร็งในผู้หญิง) พบได้ในผู้หญิงหลายช่วงวัยทั้งในวัยเด็กและวัยเจริญพันธุ์ แต่มักพบได้มากในช่วงอายุ 40-60 ปี (แต่มะเร็งรังไข่บางชนิดมักพบได้ในเด็กก่อนหรือหลังอายุ 10 ปี) ในปี พ.ศ.2557 ในสหรัฐอเมริกาพบโรคมะเร็งรังไข่ได้ประมาณ 1.3-1.4% ของผู้หญิงอเมริกัน ในประเทศที่กำลังพัฒนาพบโรคนี้ได้ประมาณ 5 รายต่อประชากรหญิง 100,000 คน (ในประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ.2544-2546 รายงานจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบโรคนี้ได้ประมาณ 5.1 รายต่อประชากรหญิง 100,000 คน) ส่วนในประเทศที่พัฒนาแล้วพบโรคนี้ได้ประมาณ 9.4 รายต่อประชากรหญิง 100,000 คน

หมายเหตุ : รังไข่ (Ovary) เป็นอวัยวะคู่ (มีทั้งด้านซ้ายและด้านขวา) ที่อยู่ในช่องท้องน้อยหรืออุ้งเชิงกราน และอยู่ในระยะสืบพันธุ์เฉพาะของผู้หญิง มีหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงและผลิตไข่เพื่อการผสมพันธุ์ ซึ่งรังไข่สามารถเกิดโรคมะเร็งได้ทั้ง 2 ข้าง โดยพบเกิดกับข้างซ้ายและข้างขวาได้ใกล้เคียงกัน และพบได้พร้อมกันทั้ง 2 ข้างประมาณ 25%

ชนิดของมะเร็งรังไข่

โรคมะเร็งรังไข่มีหลายชนิด สามารถแบ่งตามตำแหน่งเริ่มต้นของเซลล์มะเร็งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

  1. มะเร็งเยื่อบุผิวรังไข่ (Epithelial cell tumors) เป็นกลุ่มเกิดจากเซลล์เยื่อบุผิวรังไข่ (Epithelium) อาจเป็นเยื่อบุผิวของท่อนำไข่ ของเยื่อบุมดลูก หรือของเยื่อบุผิวของรังไข่ เป็นกลุ่มที่พบได้บ่อยที่สุดประมาณ 90% ของมะเร็งรังไข่ทั้งหมด พบเกิดในผู้ใหญ่ และพบได้สูงในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป (โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงโรคมะเร็งรังไข่ จึงมักจะหมายถึงโรคมะเร็งรังไข่กลุ่มที่เกิดจากเยื่อบุผิวรังไข่นี้) นอกจากนี้มะเร็งในกลุ่มนี้เยื่อบุผิวยังแบ่งได้เป็นอีก 2 แบบ คือ
    • มะเร็งรังไข่แบบ 1 (Ovarian cancer type 1) คือ มะเร็งรังไข่ที่มีความรุนแรงของโรคต่ำ (Low grade tumor) ธรรมชาติของโรคจะไม่ค่อยลุกลามแพร่กระจาย จึงมักพบโรคนี้ในระยะที่ 1 และเป็นมะเร็งกลุ่มที่มีการพยากรณ์โรคดี นอกจากนั้นโรคในกลุ่มนี้ยังมีความสัมพันธ์กับความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือยีน เช่น KRAS, PTEN, BRAF แต่มักไม่พบความผิดปกติของยีน TP53 (Tumor protein 53) มะเร็งในกลุ่มนี้ที่พบได้บ่อย คือ มะเร็งในกลุ่ม Borderline adenocarcinoma
    • มะเร็งรังไข่แบบ 2 (Ovarian cancer type 2) คือ มะเร็งรังไข่ที่มีความรุนแรงของโรครุนแรง (High grade tumor) มักพบในระยะลุกลามออกนอกรังไข่ไปแล้ว เป็นโรคที่มักพบร่วมกับการมียีนผิดปกติชนิด TP53 และชนิด BRCA (Breast cancer) และเป็นโรคกลุ่มที่มีการพยากรณ์โรคไม่ดี
  2. มะเร็งฟองไข่ (Germ cell tumors) เป็นกลุ่มที่เกิดจากเซลล์ที่ผลิตไข่ เป็นกลุ่มที่พบได้น้อยประมาณ 5% ของมะเร็งรังไข่ทั้งหมด มักพบได้ในเด็กและในหญิงอายุน้อย
  3. มะเร็งเนื้อรังไข่ (Stromal cell tumors) เป็นกลุ่มเกิดจากเซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพันซึ่งผลิตฮอร์โมนเพศหญิง เป็นกลุ่มที่พบได้น้อยมาก
ชนิดมะเร็งรังไข่
IMAGE SOURCE : www.myocjourney.com

สาเหตุของมะเร็งรังไข่

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ที่แน่ชัด แต่พบว่ามีปัจจัยเสี่ยง* ที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคนี้ คือ

หมายเหตุ : ปัจจัยเสี่ยง หมายถึง การมีโอกาสเกิดมะเร็งเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าการมีปัจจัยเสี่ยงหรือมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างจะต้องกลายเป็นโรคมะเร็งเสมอไป หรือการที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงใด ๆ เลยก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีทางเป็นโรคมะเร็ง

อาการของมะเร็งรังไข่

ในระยะแรกผู้ป่วยมักไม่มีอาการแสดง แต่ต่อมาจะมีอาการคล้ายของโรคของกระเพาะปัสสาวะและทางเดินอาหารทั่วไป

เช่น แน่นท้อง รู้สึกอึดอัดในช่องท้อง อาหารไม่ย่อย ท้องอืดท้องเฟ้อ มีลมในท้อง เรอ รู้สึกอิ่มจนอึดอัดแม้จะรับประทานอาหารอ่อน ๆ คลื่นไส้ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่จนต้องรีบเข้าห้องน้ำ ปัสสาวะบ่อย ปวดท้องน้อย การขับถ่ายผิดปกติไปจากเดิม (เช่น ท้องผูก ท้องเสีย) อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ผอมแห้ง น้ำหนักตัวลดลงหรือเพิ่มขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ปวดหลังตอนล่าง เจ็บในขณะที่มีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเป็นอย่างต่อเนื่องและค่อย ๆ เป็นมากขึ้นทีละน้อย ดังนั้น จึงเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ในระยะที่โรคลุกลามแล้ว

ผู้ป่วยบางรายอาจมีประจำเดือนผิดปกติ เช่น ปวดประจำเดือน หรือมีเลือดออกกะปริดกะปรอย บางรายอาจมีอาการปวดท้องเฉียบพลันแบบถุงน้ำรังไข่ที่มีขั้วบิด

ในระยะท้ายของมะเร็งรังไข่ ผู้ป่วยจะมีอาการคลำได้ก้อนในท้องน้อย ปวดท้องน้อย มีน้ำในช่องท้องหรือท้องมาน (ท้องบวมหรือเสื้อผ้าคับท้องหรือเอว) และมีอาการของภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากมะเร็งลุกลามไปยังบริเวณข้างเคียงและ/หรือไปยังปอดและตับ (เช่น ดีซ่าน ตับโต ไอเรื้อรัง หายใจหอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก เป็นต้น)

อาการมะเร็งรังไข่
IMAGE SOURCE : www.gleneagles.com.sg

ระยะของมะเร็งรังไข่

การวินิจฉัยมะเร็งรังไข่

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคมะเร็งรังไข่ได้จาก

หลังจากวินิจฉัยโรคได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งหรือระยะของโรคเพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะผ่าตัดทางหน้าท้องเพื่อดูว่ามีการกระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะอื่นหรือไม่ และจะตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา พร้อมกับตัดก้อนเนื้องอกและอวัยวะที่เป็นมะเร็งออกด้วย

การรักษามะเร็งรังไข่

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งรังไข่ แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัด (ผ่าตัดรังไข่ทั้งสองข้างร่วมกับผ่าตัดมดลูกและท่อนำไข่ทั้งสองข้าง เพราะเป็นอวัยวะที่โรคมะเร็งอาจลุกลามไปได้) และให้การรักษาต่อเนื่องด้วยการให้ยาเคมีบำบัดหรือร่วมกับยารักษาตรงเป้าเมื่อเป็นโรคที่เซลล์มะเร็งเป็นชนิดรุนแรงและ/หรือเมื่อโรคลุกลามแล้ว ส่วนการใช้รังสีรักษาอาจใช้ในกรณีที่โรคแพร่กระจายไปแล้วเพียงเพื่อช่วยบรรเทาอาการ (เช่น แพร่กระจายเข้ากระดูกและก่ออาการปวดกระดูก) แต่ยังอยู่ในระหว่างการทดลองทางคลินิก

ผลข้างเคียงของการรักษามะเร็งรังไข่

ผลข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็งรังไข่ในแต่ละวิธีจะแตกต่างกันไป และผลข้างเคียงจะมีสูงขึ้นเมื่อใช้หลาย ๆ วิธีรักษาร่วมกัน และ/หรือเมื่อผู้ป่วยเป็นผู้สูงอายุ สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และมีโรคประจำตัว (เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคภูมิต้านตนเอง)

การป้องกันมะเร็งรังไข่

  1. ในปัจจุบันยังไม่มีแนวทางเฉพาะสำหรับการป้องกันโรคมะเร็งรังไข่ เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้ และยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งรังไข่ที่มีประสิทธิภาพในการตรวจให้พบโรคตั้งแต่ในระยะที่ยังไม่มีอาการแสดง ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในขณะนี้ คือ การรีบไปพบสูตินรีแพทย์เสมอเมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น (โดยเฉพาะอาการผิดปกติทางทางปัสสาวะ ทางอุจจาระ และ/หรือทางประจำเดือน และ/หรือคลำได้ก้อนเนื้อในช่องท้องน้อย) หรือมีปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวไปแล้ว (ในหัวข้อสาเหตุ) เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ
  1. หลังอายุ 40 ปี ผู้หญิงทุกคนควรได้รับการตรวจภายในและตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้องอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง พร้อมกับการตรวจมะเร็งปากมดลูก ซึ่งการตรวจอาจช่วยให้พบมะเร็งรังไข่ตั้งแต่ในระยะแรกได้ (ผู้ที่มีความเสี่ยงควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วย)
  2. สำหรับในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ที่สำคัญที่สุด คือ การมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งรังไข่ โดยเฉพาะเมื่อพบโรคเมื่ออายุต่ำกว่า 50 ปี ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการป้องกันการเกิดโรคนี้ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ได้แก่
    • การกินยาเม็ดคุมกำเนิด โดยให้กินอย่างต่อเนื่องให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะไม่เกิดผลเสียต่อร่างกาย
    • การผ่าตัดเอาท่อนำไข่ทั้ง 2 ข้างออก เพราะแพทย์เชื่อว่า เซลล์มะเร็งจะเกิดจากท่อนำไข่แล้วมาเจริญเติบโตที่รังไข่
    • การผ่าตัดรังไข่และท่อนำไข่ออกทั้ง 2 ข้าง
    • เมื่อมีบุตรครบตามที่ต้องการแล้วหรือมีอายุมากกว่า 40-50 ปี และมีโรคอื่นในอุ้งเชิงกรานที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด เช่น การมีเนื้องอกในมดลูก แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดท่อนำไข่ และ/หรือรังไข่ออกร่วมไปด้วยเลยเพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งรังไข่
    • การเฝ้าระวังติดตามอย่างใกล้ชิดเป็นระยะ ๆ เพื่อสอบถามอาการ ตรวจร่างกายทั่วไป ตรวจภายใน ตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้องเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของรังไข่ ร่วมกับการตรวจเลือดดูค่าสารมะเร็งที่สัมพันธ์กับมะเร็งรังไข่ (ความถี่ในการตรวจเฝ้าระวังขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ เช่น อาจนัดตรวจทุก 3-6 เดือน เป็นต้น) เนื่องจากการตรวจพบมะเร็งรังไข่ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกนั้นมีความสำคัญอย่างมาก เพราะจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการรักษาสูงขึ้นจนสามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคลงได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (จากการศึกษาพบว่า การตรวจพบมะเร็งรังไข่ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกสามารถทำให้ผู้ป่วย 9 ใน 10 มีชีวิตอยู่ได้นานกว่า 5 ปีหลังการตรวจพบครั้งแรก)
    • หมั่นสังเกตสิ่งผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย หากมีอาการผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้นควรไปพบแพทย์เสมอ
  3. วิธีการอื่น ๆ ที่อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่ได้ คือ
    • การกินยาเม็ดคุมกำเนิดต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพราะมีการศึกษาพบว่าผู้หญิงที่กินยาคุมกำเนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่กินนานเกิน 5 ปีขึ้นไป จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งรังไข่เพียงครึ่งหนึ่งของผู้หญิงที่ไม่เคยใช้ยาคุมกำเนิด อย่างไรก็ดี การใช้ยาคุมกำเนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมได้
    • การมีบุตรก่อนอายุ 30 ปี และเลี้ยงลูกด้วยนมตัวเองเป็นเวลานาน
    • การทำหมันหลังคลอดโดยการตัดท่อนำไข่หรือการตัดมดลูก
    • พยายามลดความอ้วนอย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมัน ๆ (เพราะจากการศึกษาของสมาคมโรคหัวใจพบว่า คนอ้วนจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งรังไข่มากกว่าคนผอมถึงร้อยละ 50)
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “มะเร็งรังไข่ (Ovarian cancer)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1162.
  2. National Cancer Institute.  “Ovarian, Fallopian Tube, and Primary Peritoneal Cancer”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.cancer.gov.  [02 เม.ย. 2017].
  3. สาขารังสีรักษาและมะเร็งวิทยา ฝ่ายรังสีวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์.  “มะเร็งรังไข่”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.chulacancer.net.  [02 เม.ย. 2017].
  4. หาหมอดอทคอม.  “มะเร็งรังไข่ (Ovarian cancer)”.  (ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [03 เม.ย. 2017].
  5. Siamhealth.  “มะเร็งลำรังไข่”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.siamhealth.net.  [04 เม.ย. 2017].
  6. ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.  “โรคมะเร็งรังไข่”.  (รศ.นพ.วีรศักดิ์ วงศ์ถิรพร).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.si.mahidol.ac.th.  [04 เม.ย. 2017].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 มะเร็งรังไข่
  • 2 ชนิดของมะเร็งรังไข่
  • 3 สาเหตุของมะเร็งรังไข่
  • 4 อาการของมะเร็งรังไข่
  • 5 ระยะของมะเร็งรังไข่
  • 6 การวินิจฉัยมะเร็งรังไข่
  • 7 การรักษามะเร็งรังไข่
  • 8 ผลข้างเคียงของการรักษามะเร็งรังไข่
  • 9 การป้องกันมะเร็งรังไข่
  • 10 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ