on
“ภูมิแพ้” ทำพิษ ติดอันดับโรคต้นทุนสูง (ตอนที่ 1)
21 เมษายน 2012ในปัจจุบัน มีพ่อแม่จำนวนมากต้องกังวล การมีเรื่องการป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ของลูก โดยมีตัวเลขที่น่าเป็นห่วงว่า ร้อยละ25 ของประชากรเด็กทั่วโลกป่วยเป็นภูมิแพ้ แล้วมีอัตราสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2553 มีสถิติของเด็กอายุระหว่าง 0–5 ขวบ ที่แสดงว่ามีประมาณ 1.8 ล้านคนที่กำลังป่วยด้วยโรคนี้
นอกจากนี้ ตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุข ยังพบว่า ต้นทุนการรักษาพยาบาลโดยตรงของโรคภูมิแพ้ ในปัจจุบัน กระโดดขึ้นไปสูงถึง 27,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5% ของรายจ่ายด้านสุขภาพโดยรวมของประเทศ
ภูมิแพ้ (Allergy) คืออาการผิดปรกติของความไวสูง (Hypersensitivity) ต่อระบบภูมิคุ้มกัน (Immune system) ภูมิแพ้เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ไปมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารที่ปรกติจะไม่มีอันตรายในสิ่งแวดล้อม สารที่เป็นสาเหตุของปฏิกิริยาดังกล่าว เรียกว่า “สารก่อภูมิแพ้” (Allergen)
ปฏิกิริยาเหล่านี้มิได้มีมาแต่กำเนิด (Acquired) แต่พยากรณ์ได้ (Predictable) และเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว (Rapid) อันที่จริงภูมิแพ้เป็น 1 ใน 4 รูปแบบของความไวสูง ประเภทที่ 1 หรือ “ประเภทเกิดอาการทันที” (Immediate) ภูมิแพ้ปรากฎเด่นชัดเนื่องจากการออกฤทธิ์เกินขนาดของเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นชนิดหนึ่งของสารภูมิต้านทาน (Antibody) ที่ชื่อว่า (Immunoglobulin E: IgE)
ปฏิกิริยานี้ ก่อให้เกิดการบวมอักเสบ (Inflammatory response) ซึ่งมีตั้งแต่ขั้นอึดอัดน่ารำคาญไปจนถึงขั้นรุนแรงเป็นอันตราย โดยที่ภูมิแพ้ชนิดอ่อน อาทิ การแพ้ละอองเกสร เป็นสิ่งที่พบบ่อยในฝูงชน และเป็นสาเหตุของอาการต่างๆ อาทิ ตาแดง คัน น้ำมูกไหล ผื่นแดง (Eczema) ลมพิษ (Hives) เป็นไข้ละอองฟาง หรือเรียกทับศัพท์ว่า เฮฟีเวอร์ (Hay fever) หรือ โรคหืด (Asthma)
ในบางคน ปฏิกิริยารุนแรงต่อสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อม หรือต่อการใช้ยา (Medication) อาจก่อให้เกิดภัยคุกคามถึงชีวิต (Life-threatening) ที่เรียกว่า “Anaphylaxis” โดยทั่วไป ภูมิแพ้ต่ออาหารและต่อพิษ (Venom) ของแมลงสัตว์กัดต่อย อาทิ ตัวต่อ และผึ้ง ก็มักมีความสัมพันธ์กับปฏิกิริยารุนแรงเหล่านี้
การทดสอบเพื่อวินิจฉัยอาการภูมิแพ้มีหลายวิธี อาทิ การทาสารก่อภูมิแพ้บนผิวหนัง แล้วสังเกตปฏิกิริยาต่างๆ อาทิ การบวม หรือการเจาะเลือดเพื่อตรวจวิเคราะห์หาสารภูมิต้าทานเฉพาะที่ชื่อ IgE ส่วนการรักษาภูมิแพ้มีหลายวิธีเช่นกัน ได้แก่
- การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้เท่าที่ทราบ
- การใช้ยาต้านทานภูมิแพ้ หรือเรียกทับศัพท์ว่า ยาแอนติฮีสตามีน (Anti-histamine) ซึ่งป้องกันปฏิกิริยาภูมิแพ้โดยเฉพาะ
- การใช้ยาสเตียรอยด์ (Steroid) เพื่อปรับเปลี่ยนระบบภูมิคุ้มกันโดยทั่วไป
- การใช้ยาบรรเทากลุ่มอาการคั่งบวม (Decongestant) ซึ่งมักเป็นอาการหนึ่งจากการแพ้ เช่น ริมฝีปากบวม
- ตามปรกติ เรามักกินยาเหล่านี้ทางปาก แต่ก็มีบางชนิดใช้วิธีฉีด อาทิ การฉีดสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในร่างกายเพื่อลดความไว (Desensitize) ของการตอบสนอง ในการบำบัดภูมิแพ้ (Immunotherapy)
แหล่งข้อมูล:
- "ภูมิแพ้" ติดอันดับโรคต้นทุนสูง สูญเงินรักษาปีละ 2.7 หมื่นล้าน [2012, April 20].
- Allergy. [2012, April 20].