ฝากครรภ์ ขั้นตอนการฝากครรภ์ ค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์

ฝากครรภ์

การฝากครรภ์ เป็นสิ่งแรกที่คุณแม่ต้องนึกถึงและถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพราะการพบแพทย์ในระหว่างการตั้งครรภ์จะช่วยลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับคุณแม่และลูกน้อยได้ เพื่อให้ลูกที่คลอดออกมามีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ เมื่อต้องไปพบแพทย์ หากคุณพ่อไปด้วยก็จะช่วยให้การดูแลกันระหว่างการตั้งครรภ์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะคุณพ่อจะได้มีส่วนร่วมรับรู้วิธีการดูแลครรภ์และการตัดสินใจในเรื่องอื่น ๆ เช่น การเลือกวิธีคลอด โดยทั่วไปแล้วแพทย์จะแนะนำขั้นตอนต่าง ๆ อย่างวิตามินที่ต้องรับประทาน การงดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การตรวจสุขภาพเป็นประจำ ฯลฯ อีกทั้งคำแนะนำของแพทย์ยังช่วยคลายปัญหาให้คุณแม่ได้อย่างเหมาะสม แทนที่จะไปฟังคนอื่นหรือจากที่คนอื่นแนะนำมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาการแพ้ท้อง การออกกำลังกาย ตลอดจนการทำอัลตราซาวนด์เพื่อดูความผิดปกติของทารก เพราะฉะนั้นการฝากครรภ์จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง

ทำไมต้องไปฝากครรภ์

การฝากครรภ์ในบ้านเราเริ่มมีมาตั้งแต่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระมหาเถรตำแยได้เขียนตำราเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการคลอดบุตรไว้ตามความเชื่อที่ยึดถือกันในสมัยนั้นไว้ในหนังสือ “คัมภีร์ปฐมจินดา” ซึ่งถือว่าเป็นตำราสูติศาสตร์เล่มแรกของไทย โดย “หมอตำแย” นั้นก็คงจะมาจากชื่อมหาเถรตำแย (ภาษาราชการเรียกหมอตำแยว่า “ผดุงครรภ์โบราณ“) เมื่อมีหมอตำแยเกิดขึ้นแล้วก็มีการแนะนำหรือบอกต่อกันมาว่า ถ้าหากใครตั้งท้องก็ให้ไปฝากกับหมอตำแย หากมีอะไรเกิดขึ้นจะได้ไปตามหมอตำแยได้ตลอดเวลา ในอดีตคนไทยจึงฝากท้องไว้กับหมอตำแยเรื่อยมา แม้ในปัจจุบันตามต่างจังหวัดหรือในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ก็ยังใช้บริการหมอตำแยอยู่ เนื่องจากการฝากท้องนั้นไม่ต้องมีขั้นตอนอะไรมากมาย เพียงแค่บอกให้หมอตำแยทราบ เมื่อท้องแก่ถึงเวลาคลอดก็ให้คนไปตาม หมอตำแย่ก็จะมาตรวจท้องหรือฝืนท้องโกยท้องให้ครั้งหรือสองครั้ง

ส่วนการฝากครรภ์ในระบบสูติกรรมสมัยใหม่นั้นจะค่อนข้างมีหลายขั้นตอน คือเริ่มตั้งแต่การทำบัตรและไปตรวจเป็นระยะ ๆ ตามนัด ซึ่งจะเป็นการตรวจอย่างละเอียด เพราะถือว่าในทุกขั้นตอนนั้นเป็นสิ่งจำเป็นต่อสุขภาพของแม่และเด็กในครรภ์ทั้งสิ้น ส่วนการตรวจจะมากครั้งหรือน้อยครั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลแต่ละแห่ง ถ้าตรวจพบความผิดปกติแพทย์ก็จะนัดตรวจถี่ขึ้นครับ

สำหรับคำถามที่ว่า ทำไมคุณแม่ต้องไปฝากครรภ์ ? ทั้ง ๆ ที่ท้องก็ท้องเรา ถึงเวลาคลอดก็ค่อยไปคลอดไม่ได้หรือ ? บรรพบุรุษของเรามีลูกกันมาช้านานไม่เห็นต้องพึ่งพาการฝากครรภ์เลย ฯลฯ คำตอบสั้น ๆ เลยก็คือ สาเหตุที่ต้องไปฝากครรภ์นั้นก็เพื่อประโยชน์ของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์โดยตรงครับ ซึ่งดูได้ในหัวข้อถัดไปครับ

ประโยชน์ของการฝากครรภ์

  1. เพื่อส่งเสริมสุขภาพร่างกายและจิตใจของคุณแม่ โดยหวังจะทำให้คุณแม่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงที่สุด เพราะหมอจะให้คำแนะนำและตอบคำถามเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติในระหว่างการตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย การปฏิบัติตน และอื่น ๆ ที่อาจจะเป็นปัญหา ซึ่งคุณแม่สามารถสอบถามหรือให้คุณหมอตรวจได้ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ อย่างไร
  2. เพื่อตรวจสอบดูว่าการตั้งครรภ์ดำเนินไปอย่างปกติหรือไม่ เพราะหมอจะช่วยวินิจฉัยโรคบางอย่างที่เกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ที่อาจเป็นอันตรายต่อคุณแม่และลูกน้อยได้ เช่น ครรภ์เป็นพิษ โรคโลหิตจาง ซิฟิลิส ติดเชื้อเอดส์ ฯลฯ รวมทั้งตรวจดูว่าท่านอนของลูกน้อยในครรภ์ดูผิดปกติหรือไม่ ถ้าผิดปกติจะได้ป้องกันแก้ไข หรือถ้าพบว่าโลหิตจางก็ต้องหาสาเหตุและใช้ยาบำรุงเลือดให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อช่วยเตรียมการช่วยเหลือได้ทันท่วงที
  3. ช่วยป้องกันหรือลดอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์ เพื่อให้การตั้งครรภ์เป็นปกติและคลอดลูกได้ตามปกติมากที่สุด ถ้ามีโรคแทรกซ้อนหมอก็จะช่วยให้เกิดอันตรายน้อยที่สุด ติดเชื้อน้อยที่สุด หรือเสียเลือดน้อยที่สุด เป็นต้น
  4. ช่วยป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นกับทารกในครรภ์ เพราะการฝากครรภ์นั้นสามารถช่วยลดอัตราการแท้งบุตร การคลอดลูกก่อนกำหนด ลูกเสียชีวิตในท้อง หรือคลอดลูกแล้วเสียชีวิตได้มาก และยังช่วยป้องกันการอักเสบติดเชื้อในตัวลูกน้อยได้อีกด้วย
  5. ช่วยดูแลทารกในครรภ์ ทำให้ลูกน้อยในครรภ์เติบโตสมบูรณ์ แข็งแรง และมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม

ฝากครรภ์ที่ไหนดี

ถ้าจะถามว่าจะฝากครรภ์ที่ไหนที่ดีที่สุด ก็อยากจะแนะนำคุณแม่ว่าให้ฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลที่ใกล้และสะดวกที่สุด คือ ใกล้บ้านหรือใกล้ที่ทำงาน เผื่อถ้ามีเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้น จะได้ไปโรงพยาบาลได้สะดวกและรวดเร็วที่สุด หรือจะสอบถามจากญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ครอบครัว หรือผู้มีประสบการณ์ เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกสถานที่ฝากครรภ์ก็ได้ แต่ถ้าคุณแม่เคยรับการตรวจรักษาโรคบางอย่างมาก่อน อย่างโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคของต่อมไทรอยด์ หรือโรคอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องรักษาและตรวจติดตามหลายครั้ง ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลแห่งนั้นครับ เพราะแพทย์จะมีประวัติการรักษาอยู่แล้วว่าเราเป็นโรคอะไร ใช้ยาอะไรอยู่ แล้วจะมีผลต่อลูกน้อยในครรภ์หรือไม่ เพราะสูติแพทย์เองก็ยังต้องปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางที่รักษาโรคของคุณแม่อยู่ ซึ่งถือเป็นการดูแลการตั้งครรภ์ของคุณแม่ร่วมกัน ผลที่ออกมาจึงดีที่สุด แต่ในกรณีที่สถานพยาบาลนั้นอยู่ไกลและไม่สะดวกไปฝากครรภ์ คุณแม่ก็ควรจะขอประวัติและผลการตรวจรักษาเพื่อไปมอบให้สูติแพทย์ที่คุณแม่จะไปฝากครรภ์ด้วย ส่วนคุณแม่ที่เคยตั้งครรภ์มาก่อนแล้วอาจจะฝากครรภ์กับคุณหมอสูติที่คุ้นเคยก็ได้

โดยการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลรัฐอาจทำให้คุณแม่ต้องรอตรวจนานกว่าปกติ เนื่องจากมีผู้ไปรับบริการเป็นจำนวนมาก คุณหมอที่ตรวจก็จะผลัดเปลี่ยนกันไป ไม่ใช่หมอคุณคนเดิม ทำให้คุณแม่อาจรู้สึกว่าไม่ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลครับ เพราะประวัติการตรวจรักษาในแต่ละครั้งได้ถูกจดบันทึกไว้อย่างละเอียดแล้ว แต่ข้อดีของการฝากครรภ์ในโรงพยาบาลของรัฐคือจะมีค่าใช้จ่ายไม่แพงมากนัก

สำหรับบางคุณแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลาหรือมีฐานะค่อนข้างดี การไปตรวจหรือฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะจะได้พบกับคุณหมอคนเดิมทุกครั้ง ทำให้คุณแม่มั่นใจได้ว่าตัวเองจะได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐ ถ้าสามารถเลือกสถานพยาบาลที่ไม่แพงมากนักและอยู่ใกล้บ้านได้ก็จะดีมากครับ ซึ่งเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคุณพ่อและคุณแม่บวกกับสถานะของครอบครัวครับ แต่โดยรวมแล้วขีดความสามารถของโรงพยาบาลรัฐกับเอกชนก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าใดครับ จุดนี้เองคุณแม่ก็ต้องเลือกเอาระหว่างการเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นเพื่อแลกกับความสะดวกสบาย หรือจะประหยัดค่าใช้ แต่สะดวกน้อยหน่อย เพื่อไปตรวจไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลรัฐ

ฝากครรภ์เมื่อไหร่ดี

คุณแม่ควรไปฝากครรภ์ให้เร็วที่สุดในทันทีที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ครับ อย่ารอจนใกล้ครบกำหนดแล้วจึงค่อยไปฝากครรภ์เป็นอันขาด ทางที่ดีที่สุดก็คือควรกันไว้ดีกว่าแก้ เพราะถ้าคุณแม่เกิดมีโรคแทรกซ้อนขึ้นมาในระหว่างนี้ก็อาจจะสายเกินแก้ได้ครับ

ค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์

ชื่อโรงพยาบาล ราคาแพ็กเกจการฝากครรภ์ (เหมาจ่าย) การแบ่งชำระ
โรงพยาบาลวิภาราม 9,800 บ. -
โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ 11,900 บ. แบ่งชำระ 2 ครั้ง (7,000 บ. /4,900 บ.)
โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล 9,000-9,500 บ. ผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิต 3 งวด (0%)
โรงพยาบาลบี แคร์ เมดิคอล เซ็นเตอร์ 10,900-20,900 บ. แบ่งชำระ 3 ครั้ง
โรงพยาบาลเจ้าพระยา 14,500 บ. -
โรงพยาบาลเจ้าพระยา 15,900-28,500 บ. ชำระรวมครั้งเดียว
กำลังสืบค้นข้อมูล… - -

คำค้นหาฝากครรภ์ ราคาฝากครรภ์โรงพยาบาลไหนดีคลินิกฝากครรภ์

การเตรียมตัวก่อนไปฝากครรภ์

ก่อนไปฝากครรภ์หรือตรวจครรภ์ทุกครั้ง คุณแม่ควรเตรียมคำถามที่สงสัยหรือสิ่งที่เป็นกังวลว่าจะปฏิบัติตัวไม่ถูกไปถามหมอด้วย เพราะเวลาอยู่ต่อหน้าหมอ คุณแม่อาจนึกคำถามที่ควรจะถามไม่ออกก็ได้ การจดข้อสงสัยลงในกระดาษก็เป็นวิธีที่กันลืมได้ดี คุณแม่จะได้ไม่ต้องเสียเวลามานั่งนึกหรือลืมคำถามที่ควรจะถามไป ยิ่งในโรงพยาบาลรัฐซึ่งมีผู้ใช้บริการจำนวนมากด้วยแล้ว คุณแม่ก็ยิ่งต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมมากกว่าปกติ ไม่ควรไปถามหรือทำตามคำแนะนำจากผู้อื่น หรือทำตามความเชื่อที่เคยปฏิบัติกันมา โดยสิ่งที่คุณแม่ควรจะถามหมอเมื่อไปฝากครรภ์ มีดังนี้

นอกจากคำถามเบื้องต้นแล้วสิ่งที่คุณแม่ควรจะเตรียมก็คือประวัติทั่วไปเกี่ยวกับตัวคุณแม่ เพื่อจะช่วยทำให้การตรวจเป็นไปได้ง่ายและถูกต้องมากยิ่งขึ้น ดังนี้

  1. สุขภาพโดยทั่วไปของคุณแม่ สภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิตของคุณแม่เป็นอย่างไร
  2. ประจำเดือนครั้งสุดท้าย คุณแม่ควรทราบว่าประจำเดือนครั้งสุดท้ายมาเมื่อไหร่ และการมาของรอบเดือนแต่ละเดือนว่ามาสม่ำเสมอหรือไม่ รวมถึงประวัติการคุมกำเนิด ว่าคุมกำเนิดด้วยวิธีใด คุมกำเนิดมานานเท่าไรแล้ว เป็นต้น
  3. อาการแพ้ท้อง หากคุณแม่มีอาการแพ้ท้อง ควรเล่าให้คุณหมอฟังด้วยว่ามีอาการมากน้อยเพียงใด
  4. ประวัติการตั้งครรภ์และการคลอด สิ่งที่หมออยากรู้คือการตั้งครรภ์ครั้งก่อนเป็นอย่างไร คุณแม่มีอาการแพ้ท้องมากหรือไม่ เคยมีการแท้งบุตรหรือเปล่า แท้งเองหรือเคยทำแท้ง ต้องขูดมดลูกหรือไม่ แล้วขูดมดลูกที่ไหน หลังคลอดบุตรมีอาการผิดปกติหรือไม่ เช่น มีอาการปวดท้อง เป็นไข้ หรือมีอาการอักเสบ การคลอดบุตรครั้งก่อนเป็นอย่างไร คลอดยากหรือไม่ เจ็บท้องนานแค่ไหน หมอต้องใช้เครื่องมือช่วยคลอดหรือไม่ มีการตกเลือด รกคลอดยากจนหมอต้องล้วงรกออกหรือไม่ น้ำหนักของลูกตอนแรกคลอดคือเท่าไร เพราะถ้าลูกคนแรกตัวเล็กและคลอดได้ปกติ ถ้าที่คนสองตัวใหญ่ ก็อาจทำให้การคลอดลำบากมากยิ่งขึ้น เป็นต้น
  5. ประวัติความเจ็บป่วยของคุณแม่และคนในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย พี่ ป้า น้า อา ที่เป็นญาติโดยตรงของฝ่ายคุณแม่เอง เนื่องจากโรคและความเจ็บป่วยของญาติพี่น้องทางฝ่ายคุณแม่อาจมีผลต่อการตั้งครรภ์ได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคเลือด โรคทางพันธุกรรม การมีลูกแฝด ความพิการแต่กำเนิด ฯลฯ เพราะโรคเหล่านี้สามารถถ่ายทอดมาถึงคุณแม่และลูกน้อยได้ แต่โรคบางอย่างก็เป็นโรคติดต่อ เช่น วัณโรค ถ้าอยู่บ้านเดียวกันก็ต้องระวังการติดต่อให้มาก หรือถ้าคุณพ่อเป็นหรือเคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก็อาจจะติดต่อถึงคุณแม่และลูกน้อยได้เช่นกัน หรือถ้าคุณแม่เคยมีอาการเจ็บป่วยในอดีตก็ควรจะเล่าให้หมอฟังด้วย หากเคยเจ็บป่วยรุนแรงหรือเป็นโรคที่เจ็บป่วยในวัยเด็ก ถ้าได้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่เกิดกับพ่อแม่หรือญาติ หมอก็จะช่วยป้องกันไม่ให้ปัญหานี้ส่งผลมาถึงลูกหรือจะได้ระวังก่อนที่จะมีปัญหาในการตั้งครรภ์เกิดขึ้น
  6. ประวัติการฉีดวัคซีน คุณแม่เคยมีการฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมัน ไวรัสตับอักเสบบี หรือบาดทะยักหรือไม่
  7. ประวัติการใช้ยา เมื่อตั้งครรภ์…การใช้ยาของคุณแม่เป็นอีกสิ่งที่ต้องระวังอย่างมาก เพราะยาบางอย่างอาจเป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ได้ แม้จะเป็นยาแก้ไข้หวัดธรรมดา ยาแก้ปวด หรือยาเคยใช้อยู่ก็ตาม ถ้าหากคุณแม่กำลังใช้ยาใด ๆ รักษาโรคอยู่ก็ควรจะแจ้งให้หมอทราบด้วย เพราะหมออาจจะให้งดหรือลดยาที่รับประทานอยู่ลง ทางที่ดีคือหากคุณแม่เป็นโรคอะไรก็ควรจะปรึกษาหมอเป็นดีที่สุด อย่าไปซื้อยามารับประทานเองโดยเด็ดขาด
  8. ประวัติการแพ้ยา ในระหว่างการคลอดจะต้องมีการใช้ยา หมอจะถามคุณแม่ว่าเคยแพ้ยาชาหรือไม่ หรือหมออาจจะถามว่า เคยถอนฟันหรือเปล่า ? เคยเป็นลมไหม ? ถ้าหากคุณแม่เคยแพ้ยาชา หมอก็จะหลีกเลี่ยงแล้วเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นแทน เช่น การดมยาสลบ หรือใช้ยาชาตัวอื่นที่ไม่แพ้ การแพ้ยาปกติแล้วไม่ว่าจะช่วงไหนก็ถือว่ามีอันตรายทั้งนั้น ถ้าเกิดแพ้ยาในขณะตั้งครรภ์ก็จะยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้นเท่านั้น เพราะการรักษาจะทำได้ไม่เต็มที่ หมอไม่สามารถให้ยาบางอย่างได้ บางคนอาจจะเคยแพ้ยาปฏิชีวนะ ก็ต้องจดไว้ด้วยครับว่าแพ้ยาอะไร ชื่ออะไร เพราะถ้าหากได้รับยาเหล่านี้เข้าไปอีกก็อาจทำให้เป็นอันตรายได้ และต้องบอกหมอทุกครั้งถ้าหมอสั่งยาอื่นที่ไม่ใช่ยาบำรุงให้มา
  9. ประวัติอุบัติเหตุ โดยเฉพาะอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนบริเวณอุ้งเชิงกรานและอวัยวะเพศ เช่น รถคว่ำทำให้กระดูกเชิงกรานแตกหรือบิดเบี้ยว (ส่งผลทำให้คลอดลูกยากหรือคลอดเองไม่ได้) ก็ควรจะแจ้งให้หมอทราบด้วยนะครับ
  10. ประวัติการผ่าตัด หากคุณแม่เคยได้รับการผ่าตัดมดลูก ปากมดลูก ช่องคลอด รวมถึงการผ่าคลอด ก็ต้องแจ้งให้หมอทราบด้วยนะครับ เพราะคุณหมอจะได้ระมัดระวังและดูแลในระหว่างการคลอดได้ เช่น ถ้าเคยผ่าตัดเนื้องอกของมดลูกหรือทำคลอดโดยการผ่าตัดมาแล้ว การคลอดครั้งต่อไปก็ต้องผ่าเช่นกัน หรือบางคนที่ไปแต่งเติมเสริมช่องคลอดที่เรียกว่า “ทำสาว” นั้น ในการคลอดก็ต้องใช้วิธีการผ่าตัดเช่นกัน เพราะถ้าปล่อยให้คลอดเองก็อาจจะเกิดการฉีกขาดได้มาก เป็นต้น

ฝากครรภ์ครั้งแรก

ขั้นตอนการฝากครรภ์ ก่อนจะตรวจครรภ์ คุณหมอจะต้องซักถามประวัติคร่าว ๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้น เช่น คุณแม่มีประจำเดือนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ รอบเดือนมาสม่ำเสมอหรือไม่ เพื่อเป็นการคำนวณหาระยะเวลาการตั้งครรภ์ที่แน่นอน คุณแม่มีโรคประจำตัวหรือมีอาการผิดปกติอะไรหรือไม่ ยาที่คุณแม่ใช้อยู่เป็นประจำ ประวัติการแพ้ยา ถามเกี่ยวกับโรคต่าง ๆ ของบุคคลในครอบครัว ถามเกี่ยวกับประวัติการตั้งครรภ์และการคลอดที่ผ่านมา หลัก ๆ ก็จะถามประมาณนี้ครับ เมื่อได้ประวัติครบถ้วนแล้ว จึงถึงขั้นตอนการตรวจร่างกายต่อไป ก่อนไปฝากครรภ์จึงขอให้คุณแม่จดทบทวนประวัติต่าง ๆ ตามที่กล่าวมาแล้วให้ดี เพื่อจะได้บอกหมอได้ถูกโดยไม่ต้องเสียเวลามานั่งนึก

สมุดฝากครรภ์

ครั้งแรกที่มาฝากครรภ์ คุณหมอจะทำการซักประวัติและตรวจร่างกายของคุณแม่อย่างละเอียด โดยผลการตรวจทุกอย่างจะถูกบันทึกลงในสมุดฝากครรภ์หรือใบฝากครรภ์ซึ่งเปรียบเสมือนบัตรประจำตัวหรือบัตรประชาชนของทารกในครรภ์ คุณแม่ควรนำบัตรนี้ติดตัวไปด้วยเสมอ เมื่อต้องเดินทางไกล ๆ หากเกิดภาวะฉุกเฉินจนต้องเข้าโรงพยาบาล คุณหมอจะได้ดูแลรักษาคุณแม่ได้ถูกต้องตามข้อมูลที่บันทึกไว้ในสมุด แต่ถ้าคุณแม่ไม่มีสมุดฝากครรภ์พกติดตัวมาด้วย คุณหมอก็จะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับคุณแม่ ไม่ทราบว่าคุณแม่มีปัญหาอะไรหรือไม่ รักษามาอย่างไร และมีผลเลือดอย่างไร ซึ่งอาจทำให้คุณแม่ต้องเจาะเลือดใหม่และทำให้เสียเวลาได้

กำหนดวันคลอด

ปกติแล้วคุณแม่จะทราบกำหนดวันคลอดได้จากประจำเดือนครั้งสุดท้าย การจดบันทึกการมีประจำเดือนไว้เสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ ตลอดอายุการตั้งครรภ์จนถึงวันคลอดจะอยู่ที่ประมาณ 280 วัน หรือประมาณ 40 สัปดาห์ โดยเริ่มนับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายของคุณแม่ ดังนั้นจึงมีสูตรคำนวณวันคลอดกันอย่างง่าย ๆ โดยนับจากวันแรกของรอบเดือนครั้งสุดท้าย แล้วนับย้อนเดือนที่มีประจำเดือนขึ้นไป 3 เดือน แล้วบวก 7 สมมติว่าคุณแม่มีรอบประจำเดือนทุก ๆ 28 วัน ประจำเดือนของคุณแม่มาครั้งล่าสุดวันที่ 1-5 มกราคม 2559 และประจำเดือนควรจะมาอีกครั้งในวันที่ 28-29 มกราคม 2558 ดังนั้นประจำเดือนครั้งสุดท้ายที่มาคือวันที่ 1 มกราคม (ไม่ใช่วันที่ 5 หรือ 28-29 มกราคม) กำหนดวันคลอดของคุณแม่จะตรงกับวันที่ 8 ตุลาคม 2559 ซึ่งได้มาจากการนำวันที่ 1 ไปบวกกับ 7 แล้วนับถอยหลังจากเดือนมกราคมไปอีก 3 เดือน คือ ธันวาคม พฤศจิกายน และตุลาคม

แต่การนับวันคลอดด้วยวิธีนี้จะให้ผลอย่างแม่นยำในกรณีที่คุณแม่จำวันที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้ายได้ และหากคุณแม่มีรอบเดือนมาสม่ำเสมอทุก ๆ 28-30 วัน คุณแม่ส่วนใหญ่ก็มักจะคลอดก่อนวันที่กำหนดไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งก็จะตรงกับวันที่ 1 ตุลาคม 2559 (โดยประมาณ) แต่ความจริงแล้วจะมีคุณแม่เพียง 5-6% เท่านั้นที่จะคลอดลูกได้ตรงกับกำหนดวันคลอดพอดี ในส่วนเรื่องของการกำหนดวันคลอด หรือการคำนวณอายุครรภ์ รวมถึงการตั้งครรภ์เกินกำหนดวันคลอด ผมจะขอกล่าวถึงอีกครั้งอย่างละเอียดในบทความถัดไปครับ

การนัดตรวจครรภ์ครั้งถัดไป

เมื่อคุณแม่ได้รับการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และทราบกำหนดวันคลอดของลูกแล้ว หมอจะสั่งยาบำรุงให้และนัดมาตรวจครรภ์ครั้งถัดไป ซึ่งจะนัดถี่หรือห่างมากน้อยเพียงใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับระยะครรภ์และโรคหรือความผิดปกติที่ตรวจพบ ซึ่งโดยปกติแล้วในช่วง 7 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ คุณหมอจะนัดให้คุณแม่มาตรวจครรภ์เดือนละ 1 ครั้ง และเมื่อย่างเข้าสู่เดือนที่ 8 คุณหมอก็จะนัดตรวจครรภ์ถี่ขึ้นเป็นทุก ๆ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ และจะเพิ่มเป็นทุก ๆ 1 สัปดาห์ในช่วงเดือนที่ 9 หรือช่วง 1 เดือนก่อนคลอด แต่สำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์แฝด ซึ่งในระหว่างการตั้งครรภ์จะมีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่า คุณหมอจะนัดให้มาตรวจถี่ขึ้นกว่าคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ตามปกติในช่วง 2 เดือนก่อนคลอด คราวนี้เรามาดูกันดีกว่าครับว่าการฝากครรภ์นั้นมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

การฝากครรภ์

บางคนอาจสงสัยว่าทำไมหมอต้องนัดตรวจครรภ์หลาย ๆ ครั้ง ในเมื่อสุขภาพของคุณแม่ก็ยังปกติดี บางคนไปตรวจเพียงครั้งเดียว พอเห็นว่าตัวเองไม่มีอะไรผิดปกติก็เลยไม่ไปอีกเลย แต่เชื่อไหมครับว่าความผิดปกติหลาย ๆ อย่างมักจะเกิดขึ้นหลังจากตั้งครรภ์ไปหลายเดือนแล้ว และบางอย่างคุณแม่ก็ไม่สามารถรับรู้เองได้ หรือบางทีไปให้หมอตรวจเพียงครั้งสองครั้ง หมอก็อาจจะยังวินิจฉัยไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นการตรวจครรภ์หลาย ๆ ครั้งจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดบุตร เพราะคุณแม่อาจมีความผิดปกติเกี่ยวกับการตั้งครรภ์เกิดขึ้นได้เสมอ เพราะถ้าตรวจพบหมอก็จะได้รักษาหรือหาทางแก้ไขได้ทันท่วงทีครับ อย่าไปคิดว่าพบหมอแล้วไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย เพราะการตรวจของหมอจะเป็นการป้องกันปัญหาไว้ก่อนที่จะเกิด หรืออย่างบางคนกลับคิดว่าหมอตรวจเพียงแค่ 2-3 นาทีเอง แล้วจะตรวจเจออะไร ตรงนี้ก็ขอให้เชื่อหมอเถอะครับว่าถ้าได้ตรวจอย่างสม่ำเสมอแล้วหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น หมอจะตรวจพบได้โดยไม่ยากเลย แต่ถ้าตรวจแล้วไม่มีความผิดปกติใด ๆ ก็ถือว่าโชคดีไปครับ

ส่วนในกรณีที่ไม่สามารถไปตรวจตามที่หมอนัดได้ อาจเป็นเพราะติดธุระสำคัญหรือมีเหตุจำเป็นอื่น ๆ ก็ให้รีบไปพบหมอในทันทีที่ว่าง อย่ารอให้เลยวันนัดเป็นเดือน ๆ เนื่องจากการนัดแต่ละครั้งเป็นช่วงที่เหมาะสมต่อการตรวจดูความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะมีตัวอย่างหลาย ๆ รายที่ไปฝากครรภ์กับหมอแล้วก็หายไปเลย มาเจออีกครั้งก็ตอนที่ญาติหามมาส่งโรงพยาบาลเพราะมีอาการชัก เนื่องจากครรภ์เป็นพิษ มีความดันโลหิตสูง ฯลฯ หรือคุณแม่บางรายที่มีเลือดจางมาก พอท้องแก่ขึ้นบวกกับทารกน้อยในครรภ์ที่ต้องการธาตุเหล็กมากขึ้นด้วย ก็ต้องดึงเอาเลือดของคุณแม่ ทำให้คุณแม่ขาดธาตุเหล็กและเกิดเลือดจางมากขึ้นกว่าเดิม ในกรณีเหล่านี้ถ้าได้ตรวจพบแต่เนิ่น ๆ หมอก็จะได้ให้คำแนะนำวิธีปฏิบัติตัวและยารักษาได้ถูก เป็นต้น

หลังจากฝากครรภ์ในครั้งแรกแล้ว การนัดตรวจครรภ์ครั้งต่อไป คุณหมอจะตรวจอะไรกันบ้าง แล้วคุณแม่ควรเตรียมตัวอย่างไร มาเริ่มกันเลยครับ

การตรวจพิเศษ

สำหรับคุณแม่บางคนที่มีโอกาสตั้งครรภ์ผิดปกติหรือมีความเสี่ยงสูง คุณหมอจะตัดสินใจให้ตรวจพิเศษ คุณแม่ควรซักถามเกี่ยวกับผลการตรวจและผลที่จะได้รับเพื่อตัดสินใจว่าจะตรวจพิเศษหรือไม่ ซึ่งการตรวจพิเศษก็มีดังต่อไปนี้

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือคัมภีร์เลี้ยงลูก วัยแรกเกิด-วัยรุ่นตอนปลาย.  “การฝากครรภ์”.  (นพ.เบนจามิน สป๊อก).  หน้า 20.
  2. หนังสือคู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด.  “การฝากครรภ์…ทำไมจึงต้องฝากกับหมอ”.  (ศ. (คลินิก) นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ).  หน้า 50-72.
  3. หนังสือ 40 สัปดาห์ พัฒนาครรภ์คุณภาพ.  “ฝากครรภ์สำคัญอย่างไร”.  (รศ.พญ.สายฝน – นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์).  หน้า 113-125.

ภาพประกอบ : Bigstock

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 ฝากครรภ์
  • 2 ทำไมต้องไปฝากครรภ์
  • 3 ประโยชน์ของการฝากครรภ์
  • 4 ฝากครรภ์ที่ไหนดี
  • 5 ฝากครรภ์เมื่อไหร่ดี
  • 6 ค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์
  • 7 การเตรียมตัวก่อนไปฝากครรภ์
  • 8 ฝากครรภ์ครั้งแรก
  • 9 สมุดฝากครรภ์
  • 10 กำหนดวันคลอด
  • 11 การนัดตรวจครรภ์ครั้งถัดไป
  • 12 การตรวจพิเศษ
  • 13 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ