ผักเบี้ยใหญ่ สรรพคุณและประโยชน์ของผักเบี้ยใหญ่ 30 ข้อ

ผักเบี้ยใหญ่

ผักเบี้ยใหญ่ ชื่อสามัญ Purslane, Common purslane, Common garden purslane, Pigweed purslane[1],[2],[3]

ผักเบี้ยใหญ่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Portulaca oleracea L. จัดอยู่ในวงศ์ผักเบี้ย (PORTULACACEAE)[1]

สมุนไพรผักเบี้ยใหญ่ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ผักตาโค้ง (นครราชสีมา), ผักอีหลู ตะก้ง (อุบลราชธานี), ผักเบี้ยดอกเหลือง (ภาคกลาง), ผักอีหลู (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), แบขี่เกี่ยง ตือบ้อฉ่าย (จีนแต้จิ๋ว) เป็นต้น[1],[3],[5]

ลักษณะของผักเบี้ยใหญ่

ต้นผักเบี้ยใหญ่

ใบผักเบี้ยใหญ่

ดอกผักเบี้ยใหญ่

ผลผักเบี้ยใหญ่

สรรพคุณของผักเบี้ยใหญ่

  1. ชาวยุโรปได้เข้าใจกันว่าผักเบี้ยใหญ่นี้มีรสเย็นและช่วยทำให้เจริญอาหาร (ใบ)[1]
  2. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด (ใบ)[2]
  3. น้ำคั้นของต้นมีสรรพคุณเป็นยาฟอกโลหิต (น้ำคั้นของต้น)[2]
  4. ใช้แก้เด็กหัวล้าน ด้วยการใช้ยานี้นำมาเคี่ยวให้ข้น ใช้เป็นยาทาหรือเอาไปผิงกับไฟให้แห้ง บดให้เป็นผงผสมกับไขหมูทาบริเวณที่เป็น (ต้น)[5]
  5. ทั้งต้นใช้กินเป็นผักสด มีประโยชน์ต่อฟันมาก โดยน้ำคั้นที่ได้จากต้นเมื่อนำมาผสมกับน้ำมันกุหลาบ จะใช้อมเป็นยาแก้เจ็บคอ แก้เหงือกบวม และช่วยทำให้ฟันทนได้ (ทั้งต้น)[1]
  1. ช่วยแก้อาการปวดหู ปวดฟัน (น้ำคั้นของต้น)[2]
  2. ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน (ทั้งต้น)[5]
  3. สมุนไพรชนิดนี้มีรสเปรี้ยวเย็น ใช้เป็นยาแก้ร้อน ดับพิษ (ทั้งต้น)[5]
  4. ใช้แก้เด็กเป็นไข้สูง ด้วยการใช้ต้นสดตำพอกวันละ 2 ครั้ง (เข้าใจว่าตำพอกบริเวณศีรษะ) (ต้น)[5]
  5. ใช้แก้เด็กไอกรน ด้วยการใช้ยานี้ปรุง 50% โดยใช้ยานี้สด 250 กรัม ใส่น้ำ 1.5 ลิตร แล้วต้มให้เหลือ 100 ซี.ซี. แล้วแบ่งกิน 3 วัน วันละ 4 ครั้ง โดยทั่วไปแล้วหลังจาก 3 วันจะเห็นผล เด็กจะมีอาการไอลดลงและมีอาการดีขึ้น (ต้น)[5]
  6. น้ำคั้นจากใบสดใช้ผสมกับน้ำผึ้งและน้ำตาล ใช้ปรุงเป็นยาแก้อาการกระหายน้ำ แก้ไอแห้ง (ใบ)[1] ส่วนอีกตำราระบุให้ใช้เมล็ดเป็นยาแก้กระหายน้ำและแก้อาการไอ (เมล็ด)[2]
  7. ช่วยกระตุ้นให้กระเพาะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก (น้ำคั้นของต้น)[2]
  8. ใช้เป็นยาแก้บิดถ่ายเป็นเลือด ให้ใช้ต้นสด 550 กรัม ล้างน้ำให้สะอาด แล้วเอาไปนึ่งประมาณ 3-4 นาที ตำคั้นเอาน้ำมาประมาณ 150 ซี.ซี. ใช้รับประทานครั้งละ 50 ซี.ซี. วันละ 3 ครั้ง หรือจะใช้ยานี้สด 1 กำมือ ผสมปลายข้าว 3 ถ้วย นำมาต้มเป็นข้าวต้มเละ ๆ รับประทานแบบจืด ๆ ตอนท้องว่างก็ได้ (ต้น)[5]
  9. ใช้ป้องกันบิด ด้วยการใช้ต้นสดประมาณ 550 กรัม นำมาต้มกับน้ำกิน 1 เวลา ในระยะที่มีโรคบิดระบาดติดต่อกัน 10 วัน (ต้น)[5]
  10. ใช้แก้เด็กท้องร่วง ด้วยการใช้ยานี้สด 250-500 กรัม นำมาต้มกับน้ำใส่น้ำตาลพอประมาณ แล้วนำมาให้เด็กกินเรื่อย ๆ จนหมดใน 1 วัน โดยให้กินติดต่อกัน 2-3 วัน หรืออาจจะใช้ต้นสดนำมาล้างให้สะอาดผิงไฟให้แห้ง แล้วบดให้เป็นผงกินครั้งละ 3 กรัม กับน้ำอุ่นก็ได้ วันละ 3 ครั้ง (ต้น)[5]
  11. ช่วยหล่อลื่นลำไส้ (ทั้งต้น)[5]
  12. เมล็ดใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ (เมล็ด)[2]
  13. เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาถ่ายพยาธิ บางท้องถิ่นจะนำเมล็ดมาตำแล้วต้มกับเหล้าไวน์ ให้เด็กรับประทานเป็นยาถ่ายพยาธิ (เมล็ด)[1],[2]
  14. น้ำคั้นจากใบสดผสมกับน้ำผึ้งและน้ำตาล ใช้ปรุงเป็นยารับประทานแก้ขัดเบา (ใบ)[1] ส่วนอีกตำราระบุให้ใช้เมล็ดเป็นยาขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา (เมล็ด)[2]
  15. ใช้เป็นยาแก้หนองใน ปัสสาวะขัด ด้วยการรับประทานน้ำคั้นที่ได้จากต้น (ต้น)[5]
  16. ช่วยรักษาริดสีดวงทวารแตกเลือดออก (ทั้งต้น)[5] แก้ริดสีดวงทวารปวดบวม ด้วยการใช้ใบสดผสมกับส้มกบ (Oxalis Thunb.) อย่างละเท่ากัน ต้มเอาไอร้อน พอน้ำอุ่นก็ใช้ชะล้างวันละ 2 ครั้ง (ใบ)[5]
  17. ใช้แก้ไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน ด้วยการใช้ต้นนี้ 1 กำมือ ล้างน้ำให้สะอาด เอาน้ำประมาณ 30 ซี.ซี. ผสมกับน้ำเย็นจนเป็น 100 ซี.ซี. ใส่น้ำตาลพอประมาณ ใช้รับประทานครั้งละ 100 ซี.ซี. วันละ 3 ครั้ง (ต้น)[5]
  18. ใบใช้ตำพอกทาแก้ถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก อักเสบบวม ไฟลามทุ่ง (ใบ)[2]
  19. ช่วยแก้บวมและรักษาแผลเน่าเปื่อยเป็นหนองเรื้อรัง ด้วยการใช้ต้นสดนำมาตำคั้นเอาน้ำมาต้ม เมื่อเย็นแล้วนำมาใช้ทาหรือใช้ยานี้นำมานึ่งแล้วตำพอกบริเวณที่เป็น (ต้น)[5]
  20. ใช้รักษาฝีประคำร้อย ด้วยการใช้ยานี้ผึ่งให้แห้งในที่ร่ม เผาให้เป็นถ่าน บดให้เป็นผงผสมกับไขหมู แล้วชะล้างบาดแผลให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง แล้วเอายานี้มาพอกวันละ 3 ครั้ง (ต้น)[5]
  21. ใช้รักษาแผลจากแมลงกัดต่อย ด้วยการใช้น้ำคั้นจากต้นนำมาทาบริเวณที่ถูกกัด (ต้น)[5]
  22. ใช้แก้แผลกลาย มีก้อนเนื้องอก เลือดออกเรื่อย ๆ และแผลลามไปเรื่อย ๆ ด้วยการใช้ต้นนี้ประมาณ 500 กรัม นำมาเผาให้เป็นถ่าน บดเป็นผงผสมกับไขหมูทาบริเวณที่เป็น (ต้น)[5]
  23. เนื่องจากพืชชนิดนี้จะมีสารที่เป็นเมือกอยู่ภายในต้น ใช้ทาภายนอกเป็นยาแก้อาการอักเสบและแผลต่าง ๆ ได้ (ใบ)[1]

การเก็บมาใช้ : ให้เก็บในระยะที่ใบและต้นเจริญงอกงามดีและกำลังออกดอก เช่น ในช่วงฤดูฝน ฤดูหนาว และให้เก็บในวันที่ไม่มีฝน โดยตัดมาทั้งต้น ล้างน้ำให้สะอาด ลวกน้ำร้อนแล้วรีบเอาขึ้นมาแช่ในน้ำเย็น เอาขึ้นมาผึ่งให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำไปตากแห้งบนเสื่อเก็บเอาไว้ใช้ หรือนำมานึ่งแล้วใช้ได้เลย หรือจะใช้สดเลยก็ได้[5]

ขนาดและวิธีใช้ : การใช้ตาม [2] ให้นำใบผักเบี้ยใหญ่ตากแห้ง 1 กำมือ นำมาชงกับน้ำร้อนดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็น[2] ส่วนการใช้ตาม [5] ให้ใช้ต้นแห้งประมาณ 10-15 กรัม ถ้าสดให้ใช้ 60-120 กรัม นำมาต้มเอาน้ำหรือคั้นเอาน้ำกิน ส่วนการนำมาใช้ภายนอก ให้นำมาผิงไฟให้แห้งแล้วบดให้เป็นผงผสมกับน้ำทา หรือจะต้มเอาน้ำใช้ชะล้างบริเวณที่เป็นก็ได้[5]

ข้อห้ามใช้ : สำหรับคนธาตุอ่อนท้องเสียได้ง่ายและสตรีมีครรภ์ห้ามใช้สมุนไพรชนิดนี้ และห้ามใช้สมุนไพรชนิดนี้ร่วมกับกระดองตะพาบน้ำ[5]

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของผักเบี้ยใหญ่

ข้อมูลทางคลินิกของผักเบี้ยใหญ่

ประโยชน์ของผักเบี้ยใหญ่

  1. ผักเบี้ยใหญ่มีรสเปรี้ยวใช้รับประทานเป็นผักสด ผักสลัดได้ หรือนำมาต้ม ลวก รับประทานร่วมกับน้ำพริก ใช้ใส่ในแกงจืด ซึ่งจะออกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ชาวยุโรปจึงนำมาดองใส่เกลือและน้ำส้ม เพื่อเก็บเอาไว้รับประทานในช่วงฤดูหนาวหรือยามขาดแคลน โดยคุณค่าทางโภชนาการของผักเบี้ยใหญ่ ต่อ 100 กรัม จะประกอบไปด้วยโปรตีน 2.2 กรัม, ไขมัน 0.3 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 7.9 กรัม, ใยอาหาร 1.1 กรัม, น้ำ 87.5%, แคลเซียม 115 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 1.4 มิลลิกรัม, ฟอสฟอรัส 40 มิลลิกรัม, วิตามินเอ 2,200 หน่วยสากล, วิตามินบี 1 0.06 มิลลิกรัม, วิตามินบี 2 0.14 มิลลิกรัม, วิตามินบี 3 0.8 มิลลิกรัม, วิตามินซี 21 มิลลิกรัม[1],[3]
  2. ในทวีปยุโรปบางประเทศจะปลูกต้นผักเบี้ยใหญ่เป็นไม้ประดับ[1]

ข้อควรระวัง : การรับประทานผักชนิดนี้ในปริมาณมาก ๆ จะทำให้เกิดอาการเป็นพิษทั้งในคนและสัตว์ โดยการเป็นพิษนี้จะเกิดจาก Oxalic acid ที่มีอยู่ในผักเบี้ยใหญ่[2]

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  “ผักเบี้ยใหญ่”.  หน้า 498-499.
  2. หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด.  (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก).  “ผักเบี้ยใหญ่”.  หน้า 104.
  3. ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร.  “ผักเบี้ยใหญ่”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/.  [17 พ.ย. 2014].
  4. ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.  “ผักเบี้ยใหญ่”.  อ้างอิงใน : หนังสือ พรรณไม้น้ำบึงบอระเพ็ด.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.qsbg.org.  [17 พ.ย. 2014].
  5. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 2 คอลัมน์ : สมุนไพรน่ารู้.  (ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ).  “ผักเบี้ยใหญ่”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [17 พ.ย. 2014].
  6. สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  “ฤทธิ์ระงับปวดและอักเสบของผักเบี้ยใหญ่”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.medplant.mahidol.ac.th.   [17 พ.ย. 2014].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Karl Hauser, Scamperdale, the weed one, k_listman, naturgucker.de)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 ผักเบี้ยใหญ่
  • 2 ลักษณะของผักเบี้ยใหญ่
  • 3 สรรพคุณของผักเบี้ยใหญ่
  • 4 ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของผักเบี้ยใหญ่
  • 5 ข้อมูลทางคลินิกของผักเบี้ยใหญ่
  • 6 ประโยชน์ของผักเบี้ยใหญ่
  • 7 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ