ปอดอักเสบ (ปอดบวม) อาการ สาเหตุ การรักษาโรคปอดอักเสบ 5 วิธี

ปอดอักเสบ

ปอดอักเสบ หรือ ปอดบวม (Pneumonia) หมายถึง การอักเสบของเนื้อปอด* ซึ่งประกอบไปด้วยถุงลมปอดและเนื้อเยื่อโดยรอบ ทำให้ปอดทำหน้าที่ได้น้อยลง เกิดอาการหายใจหอบเหนื่อย หายใจลำบาก ซึ่งจัดเป็นภาวะร้ายแรงและผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ ฯลฯ อย่างไรก็ตามถ้าตรวจพบในระยะแรกเริ่มก็มีทางเยียวยารักษาให้หายได้

ปอดอักเสบ (Pneumonitisนิวโมนิติส) เป็นคำทั่วไปที่หมายถึงการอักเสบของเนื้อเยื่อปอด ในขณะที่ปอดบวม (Pneumoniaนิวโมเนีย) เป็นประเภทของการติดเชื้อที่ทำให้เกิดการอักเสบของปอด โรคปอดอักเสบและปอดบวมจึงมีความหมายคล้ายคลึงกันมากจนใช้เรียกแทนกันได้ แต่ในปัจจุบันนิยมเรียกโรคปอดอักเสบมากกว่าเพราะมีความหมายตรงกว่า

โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทั่วไปและคนทุกวัย มีโอกาสพบได้มากขึ้นในบุคคลที่เป็นกลุ่มเสี่ยง พบได้ประมาณ 8-10% ของผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเฉียบพลันทางระบบหายใจ และนับเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโรคติดเชื้อในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเกิดได้จาก 2 สาเหตุหลัก คือ ปอดอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อ (พบได้เป็นส่วนใหญ่) และปอดอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ผู้ป่วยจึงมีอาการแสดงและความรุนแรงของโรคในลักษณะแตกต่างกันไป และบางครั้งอาจพบปอดอักเสบเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่น ๆ ด้วย

pneumonia คือ
ปอดอักเสบ

หมายเหตุ : ปอด (Lung) เป็นอวัยวะในระบบการหายใจที่อยู่ภายในทรวงอกทั้ง 2 ข้าง มีลักษณะเป็นเนื้อหยุ่น ๆ มีสีออกชมพู มีหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซจากอากาศที่เราหายใจเข้าไป คือ ในช่วงที่เราหายใจเข้าปอดจะทำหน้าที่นำก๊าซออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงร่างกาย และในขณะเดียวกันปอดก็จะขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการออกมากับลมหายใจ ปกติเนื้อปอดนี้จะเป็นอวัยวะที่ปราศจากเชื้อโรค เมื่อมีเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ เข้าไปถึงเนื้อปอด จะส่งผลให้เนื้อปอดมีการอักเสบและมีการบวมเกิดขึ้น แต่ในคนที่มีสุขภาพดีร่างกายจะมีระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคที่ดีที่จะช่วยขจัดเชื้อโรคและของเสียในทางเดินหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนในคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันลดลง หากปอดติดเชื้อก็จะเกิดปอดอักเสบหรือปอดบวมได้ง่ายขึ้น และหากเกิดปอดอักเสบแล้วก็จะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ง่ายอีกด้วย

สาเหตุของโรคปอดอักเสบ

โรคนี้บางครั้งอาจพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคหวัด, ไข้หวัดใหญ่, ทอนซิลอักเสบ, หัด, อีสุกอีใส, มือเท้าปาก, ไอกรน, ครู้ป, หลอดลมอักเสบ, หลอดลมพอง, หลอดลมฝอยอักเสบ และโรคติดเชื้อของระบบอื่น ๆ ได้ (เช่น ไทฟอยด์ สครับไทฟัส โรคฉี่หนู เป็นต้น) เพราะฉะนั้นผู้ที่ป่วยเป็นโรคเหล่านี้จึงมีโอกาสเป็นโรคปอดอักเสบได้ด้วย

อาการของโรคปอดอักเสบ

pneumonia พยาธิสภาพ

ภาวะแทรกซ้อนของโรคปอดอักเสบ

อันตรายจากโรคปอดอักเสบ

อันตรายจากโรคนี้จะขึ้นอยู่กับว่าเป็นผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงข้างต้นหรือไม่ และในกรณีที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหลายกลุ่ม ก็ย่อมมีอันตรายมากขึ้นเป็นเงาตามตัว และขึ้นอยู่กับว่าปอดอักเสบที่เป็นนั้นรุนแรงและมีภาวะแทรกซ้อนหรือไม่ ซึ่งทั้ง 2 ประการนี้จะเป็นอุปสรรคสำคัญและมีผลต่อการรักษา เช่น ถ้าผู้ป่วยเป็นคนวัยหนุ่มสาวที่มีสุขภาพแข็งแรง เมื่อเกิดปอดอักเสบ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะกลับไปรับประทานเองที่บ้าน โดยไม่จำเป็นต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล แต่ถ้าโรคนี้เกิดกับผู้สูงอายุหรือมีปัญหาสุขภาพอยู่ก่อนแล้วก็มักจะมีอาการแทรกซ้อนตามมาและอาจต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล หรือยิ่งไปกว่านั้น ถ้าผู้สูงอายุป่วยเป็นโรคเบาหวานที่ไม่มีการควบคุมให้ดีมาก่อน หรือมีโรคไตเรื้อรัง มาพบแพทย์ล่าช้า อาการแทรกซ้อนนั้นก็จะมากขึ้นตามส่วน ซึ่งอาจถึงขั้นทำให้เสียชีวิต และอาจต้องรับตัวไว้ในห้องไอซียู (ICU) แทนที่จะรักษาในห้องพักผู้ป่วยทั่วไป

สรุป อันตรายจากปอดอักเสบและการมีภาวะแทรกซ้อนจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับอายุ สุขภาพ และความรุนแรงของโรคปอดอักเสบว่าเป็นมากน้อยเพียงใด ดังนั้นการไม่รักษาสุขภาพ การมีโรคประจำตัว การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และรับประทานยาที่มีผลกระทบต่อภูมิต้านทานโรค ฯลฯ จึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อความรุนแรงของโรคปอดอักเสบ

ระดับความรุนแรงของโรคปอดอักเสบ

ความรุนแรงของโรคนี้อาจมีเพียงเล็กน้อยหรือถึงขั้นรุนแรงจนอาจเสียชีวิตได้ โดยสามารถแยกได้เป็นกรณีดังนี้

ปอดบวมอาการ

การวินิจฉัยโรคปอดอักเสบ

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากอาการที่แสดง คือ มีไข้ ไอ เจ็บหน้าอก และหอบเหนื่อย ซึ่งเป็นอาการสำคัญของโรคนี้ และจากการตรวจร่างกาย การใช้เครื่องตรวจฟังเสียงปอด (ซึ่งจะพบว่ามีเสียงดังกรอบแกรบหรือมีเสียงหายใจค่อยกว่าปกติ) การถ่ายภาพเอกซเรย์ปอด (เพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัยในผู้ป่วยที่ประวัติและการตรวจร่างกายไม่ชัดเจน) รวมถึงการตรวจทางห้องปฏิบัติการ (เพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคและเป็นแนวทางในการแยกเชื้อที่เป็นสาเหตุ) ซึ่งแพทย์จะเลือกตรวจตามความเหมาะสม ตามความจำเป็น และตามดุลยพินิจของแพทย์ ได้แก่

อาการปอดบวม

สิ่งที่ตรวจพบในผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ

การแยกโรค

วิธีรักษาโรคปอดอักเสบ

  1. ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเร็วที่สุดในทันทีที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย ส่วนในรายที่เป็นโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส จะไม่มียารักษาที่จำเพาะ ซึ่งแพทย์จะให้การรักษาแบบประคับประคองไปตามอาการ และบำบัดรักษาทางระบบหายใจที่เหมาะสม
  1. แนวทางการรักษาปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ประกอบด้วย
    • การให้ยาปฏิชีวนะ หากในรายที่เป็นไม่มากและไม่มีอาการแทรกซ้อน แพทย์อาจให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอกด้วยการให้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน เช่น เพนิซิลลินวี (Penicillin V), อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin) หรืออิริโทรมัยซิน (Erythromycin) เป็นต้น (สำหรับกลุ่มวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว ควรใช้ยาอิริโทรมัยซิน เพื่อให้ครอบคลุมเชื้อไมโคพลาสมา นิวโมเนียอี และเชื้อคลามัยเดีย นิวโมเนียอี) หรืออาจให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดแบบผู้ป่วยใน
    • การรักษาประคับประคองตามอาการ/การรักษาอาการแทรกซ้อน เช่น การให้ยาลดไข้พาราเซตามอล (Paracetamol) ร่วมกับการใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวอยู่บ่อย ๆ และให้ดื่มน้ำมาก ๆ, การให้สารน้ำทางหลอดเลือดหรือให้อาหารเหลวทางสายลงกระเพาะอาหาร (ในรายที่รับประทานอาหารไม่ได้หรือไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย), การให้ออกซิเจน (ในรายที่มีอาการหายใจหอบเหนื่อย ตัวเขียว ซี่โครงบุ๋ม กระวนกระวาย หรือซึม), การให้ยาเพิ่มความดันโลหิต (ในรายที่มีความดันโลหิตลดต่ำลง), ให้ยาขยายหลอดลม (ในรายที่ได้ยินเสียงวี้ดหรือเสียงอึ๊ด และมีการตอบสนองต่อยาขยายหลอดลม), ให้ยาขับเสมหะหรือยาละลายเสมหะ (ในรายที่ให้สารน้ำเต็มที่แล้วแต่เสมหะยังคงเหนียวอยู่), การทำกายภาพบำบัดทรวงอก (เพื่อช่วยให้เสมหะถูกขับออกจากปอดและหลอดลมได้ดีขึ้น), อาจต้องการใส่ท่อเข้าหลอดลมและช่วยการหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจ (ในรายที่มีอาการหอบเหนื่อยและการให้ออกซิเจนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หรือมีภาวะหายใจล้มเหลวหรือหยุดหายใจ) เป็นต้น
    • ติดตามดูอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยนัดมาตรวจดูอาการเป็นระยะ ๆ
  2. การดูแลตนเองในเบื้องต้นเมื่ออยู่ที่บ้าน เมื่อสงสัยว่าจะเป็นปอดอักเสบ (มีอาการไข้ ไอ เจ็บหน้าอก และหอบเหนื่อย) ควรรีบมาพบแพทย์ภายใน 1-2 วัน เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย ผู้ป่วยไม่ควรรักษาด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม การดูแลตนเองเมื่อเป็นปอดอักเสบน่าจะมี 2 กรณี คือ เป็นปอดอักเสบเล็กน้อยแล้วแพทย์ให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก (ให้กลับบ้าน) และในกรณีที่เป็นปอดอักเสบและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแล้วและแพทย์พิจารณาให้กลับบ้านเพื่อรักษาและพักฟื้นตัวอยู่ที่บ้าน โดยทั้ง 2 กรณี ผู้ป่วยควรปฏิบัติดังนี้
    • รับประทานยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะการรับประทานยาปฏิชีวนะที่ต้องรับประทานให้ครบ และไม่ควรหยุดยาเอง (ถ้าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นภายใน 3 วัน ควรรับประทานยาปฏิชีวนะติดต่อกันนาน 10-14 วัน แต่ถ้าไม่ดีขึ้น หรือมีอาการหอบมาก ตัวเขียว ควรรีบไปพบแพทย์)
    • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการพลังงานในการต่อสู้กับโรคและซ่อมแซมร่างกายให้ฟื้นตัว
    • ผู้ป่วยควรเฝ้าสังเกตอาการแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างใกล้ชิด เช่น มีไข้นานเกิน 4 วัน (ถ้าเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน อาการไข้มักจะทุเลาได้ภายใน 4 วัน), มีไข้เกิดขึ้นใหม่หลังจากไข้ลงแล้ว 1-2 วัน, ไอมีเสมหะเป็นสีเหลือง เขียว สีสนิม หรือมีเลือดปน, มีอาการเจ็บแปลบหน้าอกเวลาหายใจเข้าหรือไอแรง ๆ, มีอาการหายใจหอบเหนื่อย หายใจลำบากไม่ค่อยสะดวก, รับประทานอาหารได้น้อย มีน้ำหนักตัวลดลง หรือสงสัยว่ามีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงเกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ก่อนกำหนดโดยเร็ว
  3. ถ้าพบในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงอยู่ก่อนและมีอาการในระยะแรกเริ่ม คือ หายใจเร็วกว่าปกติเล็กน้อย ไม่มีอาการซี่โครงบุ๋ม หรือตัวเขียว แพทย์จะให้การรักษาเบื้องต้นด้วยยาปฏิชีวนะ (ถ้ามีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย) ให้การรักษาไปตามอาการ และติดตามดูอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด แต่ถ้าพบโรคนี้ในผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง (เช่น ทารก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคทางปอดหรือโรคหัวใจมาก่อน ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ ฯลฯ) หรือมีอาการหอบรุนแรง ซี่โครงบุ๋ม ตัวเขียว สับสนหรือซึม ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน (ถ้ามีภาวะขาดน้ำรุนแรงควรให้น้ำเกลือในระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาลด้วย) ซึ่งแพทย์มักจะต้องรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโดยการเอกซเรย์ปอด ตรวจหาเชื้อที่เป็นสาเหตุ ตรวจระดับอิเล็กโทรไลต์และออกซิเจนในเลือด และให้การรักษาผู้ป่วยด้วยการให้สารน้ำทางหลอดเลือด ให้ออกซิเจน ให้ยาลดไข้ ฯลฯ และเลือกให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่ตรวจพบ เช่น
    • เชื้อสเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus pneumoniae) แพทย์จะให้ยาเพนิซิลลินวี (Penicillin V) หรือเพนิซิลลินจี (Penicillin G) ฉีดเข้ากล้ามหรือเข้าหลอดเลือดดำ
    • เชื้อสแตฟีโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) หรือเชื้อเคลบเซลลา นิวโมเนียอี (Klebsiella pneumoniae) แพทย์จะให้ยาเซฟาโลสปอริน (Cephalosporin) ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
    • เชื้อไมโคพลาสมา นิวโมเนียอี (Mycoplasma pneumoniae) หรือเชื้อคลามัยเดีย นิวโมเนียอี (Chlamydia pneumoniae) แพทย์จะให้รับประทานยาอิริโทรมัยซิน (Erythromycin), เตตราไซคลีน (Tetracycline) หรือดอกซีไซคลีน (Doxycycline)
    • เชื้อนิวโมซิสติส จิโรเวซิไอ (Pneumocystis jiroveci pneumonia) แพทย์จะให้รับประทานยาโคไตรม็อกซาโซล (Co-trimoxazole)
    • เชื้อไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) แพทย์จะให้รับประทานยาอะแมนทาดีน (Amantadine)
    • เชื้อเริม (Herpes simplex virus) หรืออีสุกอีใส-งูสวัด (Varicella-Zoster virus) แพทย์จะให้รับประทานยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir)
    • สำหรับผลการรักษานั้นจะขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อและความรุนแรงของโรค ในรายที่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะแรก ส่วนใหญ่มักจะหายได้เป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนตามมา แต่ถ้าปล่อยให้มีอาการรุนแรงหรือติดเชื้อร้ายแรง เช่น เชื้อสแตฟีโลค็อกคัส ออเรียส, เชื้อเคลบเซลลา นิวโมเนียอี เป็นต้น หรือพบในทารก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ ก็มักจะมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง
  4. คำแนะนำเกี่ยวกับโรคปอดอักเสบ
    • โดยทั่วไปหลังให้ยาปฏิชีวนะ 2-3 วัน อาการมักจะทุเลาลง (แต่ยังต้องรับประทานยาต่อไปจนครบตามที่กำหนด) แต่ถ้าให้ยาแล้วอาการยังไม่ทุเลาอาจต้องตรวจหาสาเหตุอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น วัณโรคปอด มะเร็งปอด ภาวะมีน้ำหรือหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอด
    • ผู้ที่มีอาการไข้ ไอ และหอบ มักมีสาเหตุมาจากโรคปอดอักเสบ แต่ก็อาจมีสาเหตุมาจากโรคอื่น ๆ ได้ เช่น หืด ครู้ป ถุงลมปอดโป่งพอง เป็นต้น
    • ผู้ที่เป็นโรคปอดอักเสบจากเชื้อไมโคพลาสมา นิวโมเนียอี (Mycoplasma pneumoniae) ซึ่งพบได้บ่อยในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว มักทำให้ผู้ป่วยมีอาการไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอแห้ง ๆ เจ็บคอ หรือมีเสมหะ ผู้ป่วยมักจะไอรุนแรง แต่ไม่มีอาการหายใจหอบรุนแรง (มีเพียงส่วนน้อยที่มีอาการหายใจหอบรุนแรง) จึงทำให้ดูคล้ายอาการของโรคไข้หวัดใหญ่และหลอดลมอักเสบ โดยอาการจะมีลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป มักเป็นอยู่นาน 1-2 สัปดาห์ และมักตอบสนองต่อการรักษาได้ดี ในบางรายอาจหายได้เองโดยไม่ได้รับการรักษา แต่หลังจากหายจากไข้แล้ว อาจมีอาการไอและอ่อนเพลียต่อไปอีกหลายสัปดาห์ถึง 3 เดือน
    • โรคนี้แม้ว่าจะมีอันตรายร้ายแรง แต่ถ้าผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างถูกต้องก็มักจะหายขาดได้ ดังนั้น หากสงสัยว่าป่วยเป็นโรคนี้ควรรีบไปพบแพทย์และรับประทานยาปฏิชีวนะ พร้อมกับติดตามดูอาการอย่างใกล้ชิด แต่ถ้ามีอาการหอบรุนแรง พบในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง หรือไม่มั่นใจ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที

วิธีป้องกันโรคปอดอักเสบ

  1. เด็กทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก และไอกรน (DTP vaccine), วัคซีนรวมเอ็มเอ็มอาร์ป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR), วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส (Varicella vaccine) หรือจะฉีดวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน และอีสุกอีใส (MMRV) ที่รวมอยู่ในเข็มเดียวกันก็ได้ ส่วนผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Influenza vaccine) และฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อสเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนียอี (Pneumococcal vaccine) เพื่อป้องกันโรคปอดอักเสบเพิ่มเติมด้วย
  1. สำหรับวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ (Pneumococcal vaccine) ควรแนะนำให้ฉีดในผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 65 ปี, ในผู้มีอายุ 19-64 ปีที่สูบบุหรี่หรือเป็นโรคหืด และในผู้มีอายุ 2-65 ปีที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำหรือมีโรคเรื้อรัง โดยการฉีดจะฉีดเข้ากล้าม 1 เข็ม และในบางรายอาจพิจารณาให้ฉีดซ้ำหลังครั้งแรก 5 ปี (เช่น ในรายที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ) หรือหากการฉีดครั้งแรกที่ก่อนอายุ 65 ปี และได้รับการฉีดมานานกว่า 5 ปีแล้วก็อาจพิจารณาฉีดกระตุ้น 1 ครั้ง หลังจากครั้งที่ 2 ไปแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องฉีดซ้ำอีกแต่อย่างใด (การฉีดวัคซีนนอกจากจะช่วยป้องกันโรคปอดอักเสบแล้ว ยังช่วยลดความรุนแรงของโรคได้อีกด้วย หากพบว่ามีการติดเชื้อเกิดขึ้นในภายหลัง)
  2. หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การใช้สารเสพติด ภาวะทุพโภชนา ควันไฟ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ หรืออากาศที่หนาวเย็น
    • อย่านอนอมน้ำมันก๊าดเล่น และควรเก็บน้ำมันก๊าดให้ห่างจากมือเด็ก อย่าให้เด็กฉวยไปอมเล่น
    • อย่าฉีดยาด้วยเข็มและกระบอกฉีดยาที่ไม่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อ เพราะมีโอกาสติดเชื้อสแตฟีโลค็อกคัส ออเรียส กลายเป็นโรคปอดอักเสบชนิดร้ายแรงได้
    • งดการสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันมิให้เป็นโรคทางปอดเรื้อรัง เช่น หลอดลมอักเสบ ถุงลมปอดโป่งพอง
  3. หากมีโรคประจำตัว หรือเมื่อเป็นโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ หัด อีสุกอีใส เป็นต้น ควรดูแลรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ
  4. หมั่นดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยการออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าตรากตรำทำงานหนักมากเกินไป
  5. ในช่วงที่มีการระบาดของโรคต่าง ๆ หรือมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นโรค เช่น คนในบ้าน โรงเรียน หรือในที่ทำงาน ควรปฏิบัติดังนี้
    • หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด เช่น ห้างสรรพสินค้า สถานบันเทิง โรงภาพยนตร์ งานมหรสพ เป็นต้น แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ให้สะอาด หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสมหะของผู้ป่วย และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกถ้ายังไม่ได้ล้างมือให้สะอาด
    • ไม่ควรให้เด็กเล็กโดยเฉพาะเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปีและผู้ที่มีสุขภาพไม่แข็งแรงคลุกคลีกับผู้ป่วย
    • อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย แต่ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ
    • ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ เช่น แก้วน้ำ จาน ชาม ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว โทรศัพท์ ของเล่น เครื่องใช้ต่าง ๆ ฯลฯ ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือกับผู้ป่วยโดยตรง
    • สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อต่าง ๆ ควรแยกตัวออกห่างจากผู้อื่น ไม่นอนปะปนหรืออยู่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าปิดปากและจมูก ส่วนเวลาที่เข้าไปในสถานที่ที่มีคนอยู่กันมาก ๆ ควรสวมหน้ากากอนามัยด้วยทุกครั้ง

วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “ปอดอักเสบ/ปอดบวม (Pneumonia)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 441-445.
  2. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 306 คอลัมน์ : สารานุกรมทันโรค.  “ปอดอักเสบ”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [01 ส.ค. 2016].
  3. สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค.  “ปอดอักเสบ (Pneumonia)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.boe.moph.go.th.  [01 ส.ค. 2016].
  4. หาหมอดอทคอม.  “ปอดบวม ปอดอักเสบ (Pneumonia)”.  (นพ.เฉลียว พูลศิริปัญญา ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [02 ส.ค. 2016].
  5. โรงพยาบาลกรุงเทพ.  “โรคปอดอักเสบในผู้สูงอายุ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.bangkokhospital.com.  [02 ส.ค. 2016].

ภาพประกอบ : www.epainassist.com, www.wikimedia.org (by CDC), www.newhealthadvisor.com, diseasespictures.com, www.med-ed.virginia.edu, www.mayoclinic.org, emedicine.medscape.com, www.trbimg.com, conditions.healthguru.com

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 ปอดอักเสบ
  • 2 สาเหตุของโรคปอดอักเสบ
  • 3 อาการของโรคปอดอักเสบ
  • 4 ภาวะแทรกซ้อนของโรคปอดอักเสบ
  • 5 การวินิจฉัยโรคปอดอักเสบ
  • 6 วิธีรักษาโรคปอดอักเสบ
  • 7 วิธีป้องกันโรคปอดอักเสบ
  • 8 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ