on
น้ำตาเทียม ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย
น้ำตาเทียม (Artificial Tears) มีวัตถุประสงค์เพื่อนำมาใช้หล่อลื่นลูกตา เพราะมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติ ช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง อาการแสบหรือไม่สบายตา ซึ่งมีสาเหตุมาจากตาแห้ง และอาจนำมาใช้เพื่อหล่อลื่นลูกตาสำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์

น้ำตาเทียมสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปโดยที่ไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อให้สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
ผลิตภัณฑ์น้ำตาเทียมที่วางจำหน่ายทั่วไปในประเทศไทยจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด ได้แก่ ชนิดสารละลายที่ไม่ใส่สารกันเสียจัดจำหน่ายในรูปแบบกระเปาะเล็ก ชนิดสารละลายที่ใส่สารกันเสียจัดจำหน่าย 2 รูปแบบ คือ แบบขวดและแบบหลอด ที่สามารถใช้ได้นาน 1 เดือนหลังเปิดใช้แล้ว และแบบกระเปาะเล็กที่ต้องใช้ให้หมดภายใน 1 วันหลังเปิดใช้ โดยการเลือกใช้จะขึ้นอยู่กับความสะดวก การใช้ชีวิตประจำวัน หรือใช้ตามคำแนะนำของแพทย์ เป็นต้น
ส่วนประกอบหลักของน้ำตาเทียมในรูปแบบสารละลายและเจล เป็นสารที่ให้ความชุ่มชื้นและช่วยหล่อลื่นดวงตา เช่น โพลิไวนิลแอลกอฮอล์ (Polyvinyl Alcohol) คาร์บอกซิเมทิลเซลลูโลส (Carboxymethyl Cellulose) ไฮโปรเมลโลส (Hypromellose) และโซเดียมไฮยาลูโรเนต (Sodium Hyaluronate)
ข้อแนะนำและข้อควรระวังในการใช้น้ำตาเทียม
การใช้น้ำตาเทียมมีข้อควรระวัง ดังต่อไปนี้
- หากเคยมีประวัติอาการแพ้จากการใช้น้ำตาเทียม ควรหลีกเลี่ยงการใช้หรือปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้
- น้ำตาเทียมใช้สำหรับบรรเทาอาการตาแห้งเท่านั้น ไม่สามารถรักษาสาเหตุของอาการตาแห้งได้
- หลีกเลี่ยงการใช้น้ำตาเทียมในการรักษาหรือป้องกันการติดเชื้อที่ตา ผู้ที่มีการติดเชื้อที่ตา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อความปลอดภัยในการใช้
- หากมีความผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นหลังจากใช้น้ำตาเทียม เช่น เกิดอาการระคายเคือง ให้หยุดใช้ทันทีและรีบพบจักษุแพทย์ รวมไปถึงผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรงหรือเรื้อรัง ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง
- สำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ โดยทั่วไปควรเอาคอนแทคเลนส์ออกก่อน จึงค่อยหยอดน้ำตาเทียม ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วจึงค่อยใส่คอนแทคเลนส์กลับไป เพราะการใช้น้ำตาเทียมชนิดที่มีสารกันเสียอาจทำให้คอนแทคเลนส์เปลี่ยนสี หรืออาจทำลายเซลล์เยื่อบุกระจกตาได้ เช่น สารเบนซาลโคเนียมคลอไรด์ (Benzalkonium Chloride) หากเยื่อบุกระจกตาต้องสัมผัสกับสารนี้เป็นเวลานานอาจทำให้เซลล์เยื่อบุกระจกตาถูกทำลายได้ หรือควรเลือกน้ำตาเทียมที่เหมาะสำหรับใช้กับคอนแทคเลนส์ คือ เลือกใช้น้ำตาเทียมแบบกระเปาะที่ใช้ได้ภายใน 1 วัน หรือเลือกใช้น้ำตาเทียมชนิดที่ไม่ใส่สารกันเสีย หรือใส่สารกันเสียที่มีผลเสียกับเยื่อบุกระจกตาน้อย
- หากมีความจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมรวมกับยาหยอดตาชนิดอื่น ควรเว้นให้ห่างกันประมาณ 10 นาที
- ควรระมัดระวังไม่ให้ปลายหลอดน้ำตาเทียมสัมผัสกับดวงตา ผิวหน้า หรือส่วนใดของร่างกาย เพราะอาจทำให้ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียจนทำให้เกิดการติดเชื้อตามมาได้
- น้ำตาเทียมทุกชนิด เมื่อหมดอายุแล้วควรทิ้งส่วนที่เหลือทันทีและห้ามนำมาใช้
- ควรเก็บน้ำตาเทียมไว้ที่อุณหภูมิห้อง ประมาณ 15-30 องศาเซลเซียส และห้ามแช่แข็ง
- สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อความปลอดภัยในการใช้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบว่าการใช้น้ำตาเทียมมีอันตรายต่อทารกในครรภ์ หรือสตรีให้นมบุตร
น้ำตาเทียม มีวิธีใช้อย่างไร?
การใช้น้ำตาเทียมควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ และควรใช้ตามคำแนะนำบนฉลากอย่างรอบคอบ ที่สำคัญ ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากหรือน้อยเกินไป และไม่ควรใช้เป็นเวลานานเกินกว่าที่ได้แนะนำเอาไว้
วิธีใช้น้ำตาเทียม
- ล้างมือให้สะอาด
- เงยหน้าให้อยู่ในตำแหน่งที่ถนัด จากนั้นค่อย ๆ ดึงเปลือกตาล่างลงมาเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับหยอดน้ำตาเทียม
- กะตำแหน่งให้ปลายหลอดยาป้ายหรือปลายขวดน้ำตาเทียมห่างจากดวงตาพอประมาณ จากนั้นค่อย ๆ หยดลงไป ใช้ปริมาณตามที่แพทย์ได้แนะนำไว้ โดยทั่วไปจะใช้ประมาณ 1-2 หยด และสำหรับแบบยาป้ายจะใช้ปริมาณประมาณ 6 มิลลิลิตร ในระหว่างที่หยดให้เหลือบตามองบน
- สำหรับยาขี้ผึ้งให้ถือหลอดยาไว้ที่ตาแล้วค่อย ๆ บีบลงไปในตา ใช้ขนาดประมาณ 6 มิลลิเมตร
- หลังจากที่หยดน้ำตาเทียมเรียบร้อยแล้ว ให้หลับตาไว้ประมาณ 2-3 นาที ก้มหน้าลงเล็กน้อยโดยที่ไม่หรี่ตาหรือกระพริบตา เพื่อไม่ให้น้ำตาเทียมไหลออกจากตาเร็วเกินไป
- จากนั้นใช้นิ้วมือค่อย ๆ กดนวดเบา ๆ ที่บริเวณหัวตาประมาณ 1 นาที เพื่อให้ของเหลวในตาสามารถระบายไปยังท่อน้ำตาได้ดี
- เช็ดน้ำตาเทียมส่วนที่ไหลออกด้วยผ้าหรือกระดาษชำระที่สะอาด
- หลังจากหยอดน้ำตาเทียมแล้ว ให้รออย่างน้อย 5 นาที แล้วจึงค่อยหยอดยาหยอดตาหรือยาขี้ผึ้ง (Ointments) ชนิดอื่น และควรใช้ยาหยอดตาก่อนยาขี้ผึ้งเพื่อให้ยาหยอดตาเข้าไปในตาได้
ผลข้างเคียงของน้ำตาเทียม
หากมีอาการแสบ หรือระคายเคืองตาอย่างรุนแรงหลังจากที่ใช้น้ำตาเทียม มีความผิดปกติในการมองเห็น หรือมีอาการปวดตา ให้หยุดใช้น้ำตาเทียมในทันทีและควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
โดยทั่วไปแล้ว ผลข้างเคียงจากการใช้น้ำตาเทียมที่พบได้บ่อย มีดังนี้
- มีอาการแสบหรือระคายเคืองตา
- ตาแฉะหรือน้ำตาไหล
- ตาแดงและมีอาการคัน
- มองเห็นได้ไม่ชัด
- รู้สึกขมในคอ
นอกจากนั้น หากมีสัญญาณของอาการแพ้ ได้แก่ หายใจลำบาก ลมพิษ และมีอาการบวมที่ใบหน้า ลิ้น ริมฝีปาก หรือคอ ควรรีบติดต่อขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนหรือรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
ผลข้างเคียงที่รุนแรงอาจเกิดขึ้นได้ หากใช้น้ำตาเทียมในปริมาณที่มากเกินกว่าที่แนะนำไว้ ดังนั้น ผู้ใช้ควรมีความรอบคอบและมีความระมัดระวังในการใช้ ที่สำคัญควรปฏิบัติตามที่แพทย์ได้แนะนำหรือควรอ่านฉลากให้ละเอียดก่อนการใช้