นิ่วในไต อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคนิ่วในไต 8 วิธี

นิ่วในไต

นิ่วไต หรือ นิ่วในไต (Kidney stone, Renal stone, Kidney calculi, Renal calculi, Renal calculus, Nephrolithiasis) เป็นโรคที่พบบ่อยในคนทุกเพศทุกวัย พบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2-3 เท่า และพบได้สูงในช่วงอายุ 30-60 ปี ในบ้านเราพบคนเป็นโรคนี้กันมากทางภาคเหนือและภาคอีสาน

ในประเทศที่เจริญแล้วจะพบโรคนี้ได้ประมาณ 0.2% ของประชากร ส่วนในเอเชียพบได้ประมาณ 2-5%, พบได้ประมาณ 20% ของประชากรในประเทศซาอุดีอาระเบีย และพบได้ประมาณ 50% ของคนที่เป็นนิ่วในไตภายใน 10 ปี (ซึ่งจะมีโอกาสเกิดนิ่วในไตซ้ำได้อีกหลังรักษาหายแล้ว) และจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 75% ภายใน 20 ปี

ชนิดของนิ่วในไต

ก้อนนิ่วมีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นแร่ธาตุ (Mineral composition) และส่วนที่เป็นสารอินทรีย์ (Organic matrix) ซึ่งมีประมาณ 5-10% เป็นสารโมเลกุลใหญ่ที่พบในปัสสาวะ ได้แก่ โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต เป็นต้น ในส่วนที่เป็นแร่ธาตุนั้นจะเกิดจากการตกผลึกของสารก่อนิ่วในปัสสาวะ ได้แก่ แคลเซียม ออกซาเลต ฟอสเฟต และยูริก (ในคน ๆ เดียวกันอาจมีนิ่วได้หลายชนิดปะปนกันอยู่ก็ได้) ซึ่ง
สามารถแบ่งประเภทของนิ่วได้ดังนี้

สาเหตุของนิ่วในไต

นิ่วในไตเกิดจาก “สารก่อนิ่ว” ที่มีอยู่ในปัสสาวะตามปกติ เช่น แคลเซียม ฟอสเฟต ออกซาเรต ยูริก ถ้าสารเหล่านี้มีอยู่ในปัสสาวะมากเกินไป เช่น จากภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกินไป (ทำให้มีการสลายแคลเซียมในกระดูกมากขึ้น ส่งผลให้แคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือดและไหลเวียนไปสู่ไตมากขึ้น) จะถูกขับออกมาในปัสสาวะมากขึ้น แคลเซียมจะรวมตัวกับสารก่อนิ่วอื่น ๆ กลายเป็นก้อนนิ่วและโตขึ้นได้เรื่อย ๆ เมื่อยังไม่มีการรักษา หรือเกิดได้ซ้ำอีกหลังการรักษา ถ้าดูแลรักษาควบคุมปัจจัยเสี่ยงหรือสาเหตุได้ไม่ดีพอ ซึ่งโดยทั่วไปการตกตะกอนมักจะเกิดขึ้นบริเวณกรวยไต เพราะเป็นตำแหน่งเก็บกักปัสสาวะจากไตก่อนปล่อยลงสู่ท่อไต แต่ในบางครั้งอาจเกิดในตัวเนื้อเยื่อไตได้ด้วย

นิ่วไต

ส่วนสารที่ป้องกันการก่อผลึกในปัสสาวะเรียกว่า “สารยับยั้งนิ่ว” ซึ่งสารที่สำคัญ ได้แก่ ซิเทรต โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ในคนปกติที่มีสารยับยั้งนิ่วในปัสสาวะสูงเพียงพอจะสามารถยับยั้งการก่อตัวของผลึกนิ่วได้ โดยสารเหล่านี้จะไปแย่งจับกับสารก่อนิ่ว เช่น ซิเทรตจับกับแคลเซียม แมกนีเซียมจับกับออกซาเลต จึงทำให้เกิดเป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีและถูกขับออกไปพร้อม ๆ กับน้ำปัสสาวะ แต่ปัจจัยเสี่ยงด้านความผิดปกติทางเมตาบอลิซึมที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคนิ่วในไตของคนไทย คือ การมีสารยับยั้งนิ่วในปัสสาวะต่ำ ได้แก่ ภาวะโพแทสเซียมในปัสสาวะต่ำที่พบได้ประมาณ 40-60% และภาวะซิเทรตต่ำในปัสสาวะที่พบได้ประมาณ 70-90%

ก้อนนิ่วอาจมีขนาดต่าง ๆ กัน อาจมีเพียงก้อนเดียวหรือหลายก้อนก็ได้ ส่วนมากมักเกิดกับไตเพียงข้างเดียว ส่วนที่เป็นทั้ง 2 ข้างอาจพบได้บ้าง ส่วนความรุนแรงของนิ่วในไตทั้งสองข้างมักไม่เท่ากัน โดยขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของนิ่ว

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต

ปัจจัยเสี่ยงภายในที่เกี่ยวข้องกับนิ่วในไต

ปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่เกี่ยวข้องกับนิ่วในไต

ปัจจัยทางเมตาบอลิกที่เกี่ยวข้องกับนิ่วในไต เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างมากในการก่อนิ่ว ซึ่งอาจพบได้ทั้งแบบผิดปกติภาวะเดียวและผิดปกติหลายภาวะร่วมกันก็ได้ ได้แก่

ปัจจัยเสี่ยงของความผิดปกติหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับนิ่วในไต

อาการของนิ่วในไต

ผู้ป่วยมักไม่มีอาการแสดง แต่จะมีอาการแสดงก็ต่อเมื่อมีการติดเชื้อซ้ำซ้อน หรือก้อนนิ่วไปอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเอวปวดหลังเรื้อรังข้างใดข้างหนึ่ง (ด้านที่มีนิ่ว) ลักษณะปวดแบบเสียด ๆ หรือปวดบิดเป็นพัก ๆ อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะอาจมีลักษณะขุ่นแดง หรืออาจเป็นหนองเมื่อมีการติดเชื้อรุนแรง หรือบางครั้งอาจมีนิ่วก้อนเล็ก ๆ หรือมีเม็ดทรายปนออกมากับปัสสาวะด้วย และเมื่อหายแล้วผู้ป่วยบางรายอาจเป็นซ้ำ ๆ หลายครั้งก็ได้

หากก้อนนิ่วมีขนาดเล็กและตกลงมาที่ท่อไต จะทำให้เกิดอาการปวดบิดในท้องรุนแรง เรียกว่า “นิ่วในท่อไต

เมื่อมีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะร่วมด้วย ผู้ป่วยอาจมีไข้ร่วมกับปวดหลัง ปวดท้อง และคลื่นไส้อาเจียน

ภาวะแทรกซ้อนของนิ่วในไต

อาจทำให้ไตอักเสบติดเชื้อแบคทีเรียเรื้อรัง ซึ่งอาจรุนแรงเป็นการติดเชื้อในกระแสเลือดจนเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้ หรือถ้าปล่อยไว้นาน ๆ มีการติดเชื้อบ่อย ๆ จะทำให้เนื้อไตเสียจนกลายเป็นไตวายเรื้อรังจนเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้เช่นกัน

การวินิจฉัยโรคนิ่วในไต

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากประวัติอาการ การตรวจร่างกาย การตรวจปัสสาวะ (มักพบมีเม็ดเลือดแดงจำนวนมาก) ตรวจเลือด เอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การถ่ายภาพรังสีไตด้วยการฉีดสารทึบรังสี (Intravenous pyelogram – IVP) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ และในผู้ป่วยบางรายอาจต้องนำปัสสาวะไปวิเคราะห์ดูสารที่เป็นปัจจัยของการเกิดนิ่วด้วย

โรคนิ่วไต

ส่วนการจะทราบว่าผู้ป่วยเป็นนิ่วชนิดใดนั้น ถ้าไม่ใช่เป็นนิ่วที่เกิดจากกรรมพันธุ์และเป็นในคนอายุน้อยอย่างนิ่วซีสทีน หรือผู้ป่วยที่เคยเป็นนิ่วและเคยวิเคราะห์นิ่วมาก่อน ก็เป็นสิ่งที่ยากจะทราบได้ว่าเป็นนิ่วชนิดใด อย่างไรก็ตามเมื่อดูจากภาพเอกซเรย์ ถ้าพบว่านิ่วมีผิวเรียบเป็นเนื้อเดียวกันและมีความเข้มมากกว่ากระดูก มักจะสลายนิ่วได้ยากกว่านิ่วที่มีผิวขรุขระและมีเนื้อไม่สม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม ความถูกต้องของการทำนายองค์ประกอบของก้อนนิ่วด้วยวิธีนี้ก็มีเพียง 39% เท่านั้น

การวิเคราะห์องค์ประกอบในก้อนนิ่วมีความสำคัญและบ่งชี้ถึงปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุของนิ่วชนิดนั้น ซึ่งการวิเคราะห์องค์ประกอบแร่ธาตุในก้อนนิ่วที่นิยมมีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี คือ วิธีการวิเคราะห์ทางเคมี (Wet chemical analysis), วิธีวิเคราะห์ด้วยเทคนิคสเปกโทรโฟโตมิเตอร์ชนิดใช้หลักการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ (X-ray diffraction spectroscopy) และวิธีวิเคราะห์ด้วยเทคนิคสเปกโทรโฟโตมิเตอร์ชนิดใช้แสงอินฟราเรด (Fourier transform infraredspectroscopy – FT-IR) เป็นต้น

วิธีรักษานิ่วในไต

แนวทางการรักษานิ่วในไตคือ การกำจัดนิ่วออกจากไต รักษาที่สาเหตุของการเกิดนิ่ว และรักษาประคับประคองไปตามอาการ โดยให้มีผลข้างเคียงจากการรักษาน้อยที่สุด โดยมีปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกวิธีการรักษา คือ ขนาด จำนวน องค์ประกอบของนิ่ว หรือชนิดของนิ่ว รวมทั้งกายวิภาคของไต และสภาพของผู้ป่วย ได้แก่

  1. ถ้าก้อนนิ่วมีขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร มักหลุดออกมาเองได้จากการดื่มน้ำมาก ๆ และอาจร่วมกับยาช่วยละลายนิ่ว หรืออาจจะยังไม่ต้องทำการรักษาใด ๆ แต่ต้องมีการนัดมาตรวจเป็นระยะ ๆ เพราะว่านิ่วอาจจะโตขึ้นหรือผู้ป่วยอาจมีผลแทรกซ้อนจากนิ่วได้
    • ยาที่ใช้รักษานิ่วที่เกิดจากเกลือแคลเซียม ได้แก่ ยาขับปัสสาวะ (Hydrochlorothiazide chlorothiazide) ซึ่งสามารถช่วยลดการขับแคลเซียม แต่ต้องให้โพแทสเซียมเสริมด้วยเนื่องจากยานี้จะทำให้โพแทสเซียมในเลือดต่ำ ซึ่งส่งผลให้ซิเทรตต่ำและเกิดนิ่วได้ง่าย, เซลลูโลสฟอสเฟต (Cellulose phosphate) ยาตัวนี้จะจับกับแคลเซียมในลำไส้ มักใช้ในกรณีที่ปัสสาวะมีแคลเซียมสูงและเกิดนิ่วซ้ำ, โพแทสเซียมแมกนีเซียมซิเทรต (Potassium magnesium citrate) จากรายงานพบว่า สามารถช่วยลดการเกิดนิ่วได้ถึง 85% แต่ควรระวังการใช้ร่วมกับยาที่เพิ่มโพแทสเซียมในเลือดและการใช้ในผู้ป่วยไตวาย
    • ยาที่ใช้รักษานิ่วที่เกิดจากออกซาเลต ได้แก่ คอเลสไทรามีน (Cholestyramine) ซึ่งเป็นยาลดไขมันในเลือดแต่นำมาใช้รักษานิ่วได้ และการรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 6 ได้แก่ กล้วย แตงโม ถั่ว ถั่วเหลือง ธัญพืช หรือรับประทานวิตามินบี 6 เสริมอาหาร
    • ยาที่ใช้รักษานิ่วชนิดที่เกิดจากกรดยูริก (Uric acid stones) ได้แก่ โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate) เพื่อเพิ่มความเป็นด่างให้แก่ปัสสาวะ, ยาลดกรดยูริกอัลโลพูรินอล (Allopurinol) และโพแทสเซียมซิเทรต (Potassium citrate) ซึ่งเป็นยาลดกรดยูริกในปัสสาวะ
    • ยาที่ใช้รักษานิ่วชนิดที่เกิดจากการติดเชื้อในไต (Struvite stones) ได้แก่ ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย, กรดอะซิโตไฮโดรซามิก (Acetohydroxamic acid) เพื่อช่วยลดการเกิดนิ่วแม้ว่าในปัสสาวะยังมีเชื้อแบคทีเรีย, อะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ (Aluminium hydroxide) เพื่อช่วยจับกับฟอสเฟตในลำไส้
    • ยาที่ใช้รักษานิ่วชนิดที่เกิดจากสารซีสทีน (Cystine stones) ได้แก่ โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium bicarbonate) เพื่อเพิ่มความเป็นด่างให้แก่ปัสสาวะ
  2. ถ้าก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่เกินที่จะหลุดออกมาได้เอง ก้อนนิ่วมีขนาดโตขึ้น ก้อนนิ่วอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ หรือก้อนนิ่วทำให้เกิดการติดเชื้อ จะต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดเพื่อเอานิ่วออกมา ซึ่งวิธีการผ่าตัดมีดังนี้
    • Extracorporeal shock wave lithotripsy (ESWL) จะเป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงส่งพลังผ่านผิวหนังไปสู่ก้อนนิ่ว โดยไม่ทำอันตรายเมื่อคลื่นถูกก้อนนิ่วแพทย์จะมองเห็นรอยร้าวหรือแตกบนก้อนนิ่ว ก้อนนิ่วจะสลายตัวหลังจากใช้เครื่องสลายนิ่วประมาณ 1 ชั่วโมง และจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะภายหลังการรักษาแล้วหลายวันถึง 1 สัปดาห์ แต่ก้อนนิ่วจะต้องมีขนาดไม่เกิน 2.5 เซนติเมตร และอยู่เหนือท้องน้อย มักใช้กับนิ่วชนิดที่เกิดจากการติดเชื้อในไต (Struvite stones) ใช้ไม่ได้ผลกับนิ่วชนิดซีสทีน (Cystine stones) มีอัตราความสำเร็จประมาณ 70-90% ไม่มีแผลเป็น หายเร็ว ไม่ต้องนอนพักในโรงพยาบาล และเป็นการรักษาแต่ภายนอก แต่จะมีอาการแทรกซ้อนที่สำคัญคือ อาจเป็นรอยช้ำในบริเวณที่รักษา มีเลือดปนในปัสสาวะ รู้สึกปวด 2-3 วันหลังการรักษา (จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน (Aspirin) ก่อนทำ ESWL อย่างน้อย 2 สัปดาห์) ผู้ป่วยทั่วไปสามารถรักษาด้วยวิธีนี้ได้ ยกเว้นในผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง การแข็งตัวของเลือดไม่ปกติ มีภาวะเลือดออกผิดปกติ อ้วนมาก มีการอุดทางเดินปัสสาวะ และทางเดินปัสสาวะอักเสบ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนล่วงหน้า สำหรับหญิงตั้งครรภ์ไม่สามารถใช้วิธีนี้ในการรักษาได้ ผู้ป่วยควรกลับไปพบแพทย์เพื่อตรวจหลังการรักษา
      การรักษานิ่วในไต
    • Percutaneous nephrolithotomy (PCNL) เป็นการใช้กล้อง Nephroscope ส่องเข้าสู่ไตผ่านทาง Nephrostomy tract ที่แทงผ่านผิวหนังบริเวณเอวเข้าสู่ไตโดยตรง แล้วใช้เครื่องมือคีบเอานิ่วออกหรือใช้เครื่องกรอนิ่ว (Ultrasonic lithotripsy) หรือเครื่องเจาะนิ่ว (Ballistic lithotripsy) มักใช้ในกรณีที่ใช้เครื่องสลายนิ่ว (ESWL) แล้วไม่ได้ผล หรือเป็นนิ่วชนิดซีสทีน หรือเป็นนิ่วที่มีขนาดใหญ่
      สลายนิ่วในไต
    • Ureterorenoscopic stone removal (URS) เป็นการใช้กล้อง Ureteroscope ที่มีขนาดเล็กส่องผ่านทางกระเพาะปัสสาวะเข้าสู่ท่อไต และใช้เครื่องมือคล้องนิ่ว (Basket) หรือกรอนิ่วให้แตกโดยใช้ Laser หรือ Ballistic lithotripsy มักใช้กับนิ่วที่มีขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร และอยู่ต่ำกว่ากระดูกสะโพก
      นิ่วในไตการรักษา
    • Open stone surgery (OSS) เป็นการเปิดผ่าตัดซึ่งมีหลายวิธีโดยขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดของนิ่ว เช่น Anatrophic nephrolithotomy (ANL), Pyelolithotomy, Ureterolithotomy
    • Laparoscopic ureterolithotomy เป็นการใช้กล้องส่องเข้าไปผ่าเอานิ่วในท่อไตออก โดยการเจาะแผลทางท้องเล็ก ๆ ประมาณ 3 แผล
  3. ผ่าตัดไตเมื่อไตอักเสบเรื้อรังจนเป็นแหล่งเชื้อโรคและไม่สามารถทำงานได้แล้ว
  4. ถ้ามีอาการปวดท้องหรือปวดหลังให้รับประทานยาแก้ปวด หรือแอนติสปาสโมดิก (Antispasmodics)
  5. ถ้ามีอาการติดเชื้อ แพทย์จะให้การรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin), โคไตรม็อกซาโซล (Co-trimoxazole), โอฟล็อกซาซิน (Ofloxacin) หรือไซโพรฟล็อกซาซิน (Ciprofloxacin)
  6. ในรายที่ตรวจพบสาเหตุที่ชัดเจน แพทย์จะให้การรักษาไปตามสาเหตุที่ตรวจพบ เช่น ให้ยารักษาโรคเกาต์ในรายที่เป็นโรคเกาต์ เป็นต้น
  7. การรักษาโรคนิ่วด้วยยาและมะนาวผง เป็นการรักษาที่ช่วยป้องกันการเติบโตของก้อนนิ่วและป้องกันการเกิดโรคนิ่วซ้ำได้ เนื่องจากการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดนั้นไม่ได้ครอบคลุมไปถึงการรักษาภาวะผิดปกติของเมตาบอลิซึม ดังนั้นการให้ยารักษาจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรแนะนำแก่ผู้ป่วยภายหลังการรักษา ซึ่งการรักษาทางยานี้มีจุดประสงค์สำคัญ คือ เพื่อแก้ไขภาวะผิดปกติทางเมตาบอลิซึมในผู้ป่วย เพื่อเพิ่มสารยับยั้งการก่อนิ่ว เพื่อลดสารก่อนิ่ว เพื่อลดภาวะเครียดจากออกซิเดชันและการบาดเจ็บของเซลล์และความผิดปกติของการทำงานของไต โดยยาที่นำมาใช้รักษานั้นมักพบทั้งที่อยู่ในรูปสารสังเคราะห์ เช่น Allopurinal, Acetohydroxamic acid, Orthophosphate, Thiazide, Triponin, เกลือโพแทสเซียมฟอสเฟตและเกลือของซิเทรต รวมไปถึงสารในธรรมชาติต่าง ๆ เช่น กรดไฟติก สารต้านอนุมูลอิสระ น้ำมันปลา หญ้าหนวดแมวหรือหญ้าเทวดา ผลไม้ มะนาวผง เป็นต้น ซึ่งแพทย์จะพิจารณาให้การรักษาด้วยยาอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางเมตาบอลิซึมที่ทราบแน่นอน ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการทำงานของไต หรือมีโรคที่กำลังเป็นอยู่ หรือผู้ป่วยที่มีนิ่วซ้ำ
  8. การดูแลตนเองเมื่อเป็นนิ่วในไตและเพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นนิ่วซ้ำอีกหลังการรักษาจนหายแล้ว ผู้ป่วยควรปฏิบัติดังนี้
    • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    • รับประทานยาต่าง ๆ ตามที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วน ไม่ขาดยา และไม่หยุดยาเอง
    • ดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ อย่างน้อยวันละ 2.5 ลิตร หรือมากกว่าวันละ 4 ลิตร ถ้าเป็นนิ่วชนิดซีสทีน หรือดื่มน้ำตามที่แพทย์แนะนำ
    • การดื่มน้ำมะนาววันละ 1 แก้ว (ช่วยเพิ่มสารซิเทรตในปัสสาวะ ซึ่งช่วยยับยั้งการเกิดนิ่ว)
    • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มโคล่า เนื่องจากอาจทำให้ปริมาณของซิเทรตในปัสสาวะลดลง
    • ไม่กลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน พยายามเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ
    • ควบคุมน้ำหนักให้มีดัชนีมวลกายอยู่ในระดับปกติ
    • จำกัดหรือลดปริมาณการรับประทานอาหารที่มีกรดยูริก แคลเซียม และสารออกซาเลตสูง
    • ผู้ป่วยที่เป็นนิ่วชนิดที่เกิดจากกรดยูริก ควรลดอาหารที่มีสารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก ถั่ว รวมทั้งโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เพราะโปรตีนจะเพิ่มการขับแคลเซียม กรดยูริก และออกซาเลตในปัสสาวะ ทำให้เกิดนิ่วได้ง่าย
    • ผู้ป่วยที่เป็นนิ่วชนิดแคลเซียม ควรงดการรับประทานอาหารเค็มที่มีเกลือโซเดียม เนื่องจากมีผลต่อการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ
    • ผู้ป่วยที่มีภาวะออกซาเลตในปัสสาวะสูงควรได้รับแมกนีเซียมและวิตามินบี 6 เสริม เพื่อช่วยลดการสร้างของออกซาเลตในตับ
    • การรับประทานวิตามินซี วิตามินดี และแคลเซียมเสริมอาหาร อาจทำให้เกิดนิ่วได้มากกว่าคนปกติ ดังนั้นการรับประทานอาหารเสริมเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ (การรับประทานวิตามินซีและดี จะทำให้เกิดนิ่วในไตได้ เพราะร่างกายจะเปลี่ยนวิตามินซีเป็นออกซาเลตขับออกทางปัสสาวะ โดยทั่วไปจึงแนะนำว่าไม่ควรรับประทานเกินวันละ 500 มิลลิกรัม ส่วนแคลเซียมควรรับประทานพร้อมกับอาหาร)
    • ควรผ่อนคลายความเครียดด้วยการบริหารร่างกายแบบโยคะ ฝึกทำสมาธิ หรือใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อลดความเครียด เช่น การสร้างจินตภาพ รวมถึงงดการสูบบุหรี่ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดความเครียดของร่างกายที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บของเซลล์บุท่อไตได้
    • หลังการออกกำลังกาย ทำงานหนักในที่ที่มีอากาศร้อน สูญเสียเหงื่อมาก จะต้องดื่มน้ำชดเชยให้เพียงพอ
    • หมั่นสังเกตสีและลักษณะของปัสสาวะอยู่เสมอ หากปัสสาวะขุ่นมากหรือมีลักษณะขุ่นแดง (มีเลือดปน) หรือมีนิ่วหลุดออกมา ควรเก็บไว้แล้วนำไปพบแพทย์ เพื่อตรวจดูว่าเป็นนิ่วชนิดใด เพื่อที่แพทย์จะได้ให้คำแนะนำและรักษานิ่วได้อย่างถูกต้อง (เมื่อแพทย์แนะนำให้เก็บนิ่วมาให้ตรวจ เพื่อความสะดวกในการเก็บนิ่วได้ง่ายขึ้น ผู้ป่วยควรปัสสาวะในกระโถนหรือปัสสาวะผ่านผ้ากรอง)
    • ไปพบแพทย์ตามนัดเสมอ และรีบไปพบแพทย์ก่อนนัดเมื่ออาการต่าง ๆ เลวร้ายลง หรือเมื่อมีอาการผิดปกติไปจากเดิม หรือเมื่อกลับมามีอาการแบบเดิมซ้ำอีก
      นิ่วในไตอาการ

นิ่วในไตเป็นโรคไม่รุนแรงและรักษาได้เสมอถ้าก้อนนิ่วยังมีขนาดเล็ก แต่เมื่อก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่ขึ้นจนก่อให้เกิดการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ เกิดการอักเสบติดเชื้อ หรือเกิดไตวายเรื้อรัง ก็จัดเป็นโรคที่ร้ายแรง เพราะเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตได้

วิธีป้องกันนิ่วในไต

  1. ดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยลดความอิ่มตัวของสารต่าง ๆ ในปัสสาวะ ลดการตกผลึกของนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
  2. ไม่กลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน พยายามเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ
  3. รับประทานอาหารจำพวกผักและผลไม้ เพราะเป็นแหล่งของสารยับยั้งการเกิดนิ่ว ช่วยให้ปริมาณซิเทรต โพแทสเซียม และ pH ของปัสสาวะเพิ่มขึ้น และลดการทำลายของเซลล์เยื่อบุหลอดไต จึงสามารถยับยั้งการเกิดนิ่วได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. รับประทานไขมันจากพืชและไขมันจากปลา เพราะไขมันเหล่านี้สามารถลดปริมาณแคลเซียมในปัสสาวะได้ดีกว่าไขมันที่ได้จากเนื้อสัตว์อื่น ๆ จึงช่วยลดโอกาสเกิดนิ่วซ้ำได้
  1. ลดการรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไขมันสัตว์ อาหารหวานและเค็มมาก และอาหารที่กรดยูริกสูง ได้แก่ หนังสัตว์ปีก ตับ ไต ปลาซาร์ดีน ซึ่งการบริโภคอาหารโปรตีนสูงจะทำให้เพิ่มสารก่อนิ่วและเพิ่มโอกาสการเกิดนิ่วสูงมาก
  2. จำกัดหรือลดอาหารที่มีสารออกซาเลตสูง เช่น งา ผักโขม ถั่วต่าง ๆ ชา ช็อกโกแลต ฯลฯ เนื่องจากออกซาเลตเป็นสารก่อนิ่วที่สำคัญ
  3. เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง ในปัจจุบันพบว่า การลดอาหารที่มีแคลเซียมในผู้ป่วยโรคนิ่ว นอกจากจะทำให้สมดุลของแคลเซียมเปลี่ยนแปลงแล้ว ยังเป็นการเพิ่มปัจจัยเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนในอนาคต และยังทำให้เพิ่มสารก่อนิ่วชนิดออกซาเลตในปัสสาวะ เนื่องจากแคลเซียมในอาหารจะไปจับและยับยั้งการดูดซึมออกซาเลตทางลำไส้และขับออกจากร่างกายทางอุจจาระ จึงช่วยลดระดับของออกซาเลตในปัสสาวะ ซึ่งในคนปกติควรได้รับแคลเซียมวันละประมาณ 800-1,200 มิลลิกรัม ในกรณีที่รับประทานยาเม็ดแคลเซียมเสริมควรรับประทานพร้อมกับอาหาร เพราะการรับประทานยาเม็ดแคลเซียมก่อนนอนจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วสูง ส่วนผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการดูดซึมแคลเซียมที่ลำไส้ควรปรึกษาแพทย์
  4. หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟที่เข้มข้นมากอย่างต่อเนื่อง เพราะจะทำให้ระดับแคลเซียมสูงขึ้นในปัสสาวะ
  5. ลดการดื่มเหล้า เบียร์ หรือไวน์ เพราะจะทำให้ร่างกายขับปัสสาวะมากเกินไปและเกิดภาวะขาดน้ำ
  6. ควรรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะจากการศึกษาพบว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินจะมีโอกาสเป็นนิ่วในไตสูงกว่าผู้ที่มีน้ำหนักปกติ
  7. ออกกำลังกายและผ่อนคลายความเครียด โดยควรออกกำลังกายเป็นเวลา 30 นาทีทุกวัน เช่น การเดินซึ่งจะช่วยทำให้นิ่วขนาดเล็กหลุดมาได้เอง การเดินสมาธิ โยคะ ไทเก๊ก จะทำให้การทำงานของร่างกายดีขึ้น และช่วยลดความเครียด และลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดนิ่ว
  8. รีบไปพบแพทย์หรือไปโรงพยาบาลเมื่อมีอาการทางปัสสาวะ เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “นิ่วไต (Renal calculus/Kidney stone)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 856-857.
  2. สงขลานครินทร์เวชสาร ปีที่ 29 ฉบับที่ 6 พ.ย.-ธ.ค. 2554.  “ปัจจัยเสี่ยงของโรคนิ่วในไต : ประเด็นของสารแคลเซียมและออกซาเลต”.  (พัชรินทร์ ชนะพาห์).
  3. ภาควิชาเคมี และภาวิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.  “โรคนิ่วไต : จากกลไกการเกิดนิ่วระดับโมเลกุลสู่การป้องกัน”.  (ชาญชัย บุญหล้า, ปิยะรัตน์ โตสุโขวงศ์, เกรียง ตั้งสง่า).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.bmbmd.research.chula.ac.th.  [30 มิ.ย. 2016].
  4. หาหมอดอทคอม.  “นิ่วในไต (Kidney stone)”.  (ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [30 มิ.ย. 2016].
  5. ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ.  “รักษาก้อนนิ่วในไตโดยไม่ต้องผ่าตัด”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.bangkokhealth.com.  [01 ก.ค. 2016].
  6. Siamhealth.  “นิ่วในไต Renal calculi”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.siamhealth.net.  [01 ก.ค. 2016].

ภาพประกอบ : www.epainassist.com, www.stonedisease.org, kidneystones101.com, www.kidneyresearchuk.org, www.excelurology.com, radiopaedia.org, kidneystonespictures.com, www.jpma.org.pk, www.wikimedia.org (by BruceBlaus), patients.uroweb.org, avantgardeurology.com, www.kidneyabc.com

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 นิ่วในไต
  • 2 ชนิดของนิ่วในไต
  • 3 สาเหตุของนิ่วในไต
  • 4 ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต
  • 5 อาการของนิ่วในไต
  • 6 ภาวะแทรกซ้อนของนิ่วในไต
  • 7 การวินิจฉัยโรคนิ่วในไต
  • 8 วิธีรักษานิ่วในไต
  • 9 วิธีป้องกันนิ่วในไต
  • 10 เรื่องที่เกี่ยวข้อง
  • 11 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ