on
ทีบี ในวันนี้ (ตอนที่ 4)
14 มีนาคม 2016
สำหรับการรักษาผู้ป่วยวัณโรคระยะแฝงนั้น เนื่องจากเชื้อยังมีจำนวนน้อย ดังนั้นการรักษาจึงเน้นที่การควบคุมและป้องกันไม่ให้เชื้อพัฒนาไปเป็นวัณโรคที่แสดงอาการ โดยยาที่ใช้ในการรักษา ได้แก่
- Isoniazid (INH)
- Rifampin (RIF)
- Rifapentine (RPT)
ส่วนการรักษาวัณโรคที่แสดงอาการนั้น เพราะภูมิต้านทานของร่างกายไม่สามารถหยุดยั้งการเติบโตของเชื้อได้ การรักษาจึงต้องใช้ยาหลายชนิดและกินเวลาประมาณ 6-9 เดือน ซึ่งยาหลักๆ ได้แก่
- Isoniazid (INH)
- Rifampin (RIF)
- Ethambutol (EMB)
- Pyrazinamide (PZA)
โดยผลข้างเคียงของการใช้ยาที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
- อาการคลื่นไส้หรืออาเจียน
- เบื่ออาหาร
- มีภาวะผิวเหลือง (Jaundice)
- ปัสสาวะเข้ม
- เป็นไข้ตั้งแต่ 3 วัน โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
สำหรับการวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรคหรือไม่นั้นสามารถทำได้โดย
การทดสอบปฏิกิริยาทางผิวหนัง (Tuberculin skin test / TB skin test / Mantoux tuberculin skin test) ด้วยการฉีดสารที่เรียกว่า Tuberculin เข้าที่แขนส่วนล่าง หลังจากนั้นใช้เวลานาน 48-72 ชั่วโมง เพื่อดูปฏิกริยาที่เกิดขึ้นกับแขน เช่น อาการนูน แข็งหรือบวม แล้วทำการวัดขนาด หากผลปรากฏเป็น
- ผลบวก (Positive skin test) แสดงว่ามีการติดเชื้อ ซึ่งจะทำการทดสอบต่อไปอีกว่า เป็นวัณโรคระยะแฝงหรือวัณโรคที่แสดงอาการ แล้วจึงให้การรักษาอย่างถูกต้อง
- ผลลบ (Negative skin test) แสดงว่าไม่มีการติดเชื้อแต่อย่างใด
การตรวจเลือด (TB blood tests / Interferon-gamma release assays = IGRAs) เพื่อดูระดับภูมิต้านทานที่มีปฏิกริยากับเชื้อแบคทีเรียว่ามีความแข็งแรงขนาดไหน หากผลปรากฏเป็น
- ผลบวก (Positive IGRAs) แสดงว่ามีการติดเชื้อ ซึ่งจะทำการทดสอบต่อไปอีกว่า เป็นวัณโรคระยะแฝงหรือวัณโรคที่แสดงอาการ แล้วจึงให้การรักษาอย่างถูกต้อง
- ผลลบ (Negative IGRAs) แสดงว่าไม่มีการติดเชื้อแต่อย่างใด
แหล่งข้อมูล
1. Tuberculosis (TB)[2016, March 12].
2. Tuberculosis. [2016, March 12].