ถุงลมโป่งพอง (Emphysema) อาการ, สาเหตุ, การรักษา ฯลฯ

ถุงลมโป่งพอง

โรคถุงลมโป่งพอง, ถุงลมปอดโป่งพอง หรือ ถุงลมพอง (ภาษาอังกฤษ: Emphysema) เป็นโรคที่อยู่ในกลุ่มของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)* หมายถึง ภาวะพิการอย่างถาวรของถุงลมในปอด ซึ่งเป็นผลมาจากผนังถุงลมเสียความยืดหยุ่นและเปราะง่าย ทำให้ถุงลมสูญเสียหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนอากาศ และผนังของถุงลมที่เปราะยังมีการแตกทะลุ ทำให้ถุงลมขนาดเล็ก ๆ หลาย ๆ อันรวมตัวเป็นถุงลมที่โป่งพองและพิการ ส่งผลให้จำนวนพื้นผิวของถุงลมที่ยังทำหน้าที่ได้ทั้งหมดลดน้อยลงกว่าปกติ ออกซิเจนจึงเข้าสู่กระแสเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้น้อยลง ผู้ป่วยจึงมีอาการหายใจตื้นและเกิดอาการเหนื่อยหอบง่ายตามมา สำหรับการรักษาสามารถทำได้โดยการหยุดสาเหตุและรักษาแบบประคับคองตามอาการซึ่งจะไม่ได้ทำให้พยาธิสภาพของโรคหายไป เพียงแต่จะช่วยหยุดการดำเนินของโรค/การลุกลามของโรคและทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้น

โดยปกติถุงลมอยู่ปลายสุดของปอด ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนล้าน ๆ ถุง เป็นถุงอากาศเล็ก ๆ มีหลอดเลือดหุ้มอยู่โดยรอบ เป็นที่ซึ่งเกิดการแลกเปลี่ยนอากาศ (ก๊าซออกซิเจนในถุงลมซึมผ่านผนังถุงลมและหลอดเลือดเข้าไปในกระแสเลือด และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระแสเลือดซึมกลับออกมาในถุงลม) และปกติถุงลมจะมีผนังที่ยืดหยุ่น ทำให้ถุงลมหดและขยายตัวได้คล้ายฟองน้ำ ซึ่งช่วยให้การแลกเปลี่ยนอากาศเป็นไปได้อย่างเต็มที่

ส่วนใหญ่มักพบโรคนี้ในผู้สูงอายุ (ช่วงอายุ 45-65 ปี) พบในผู้ชายได้มากกว่าผู้หญิง และมักพบร่วมกับโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีประวัติการสูบบุหรี่จัด (มากกว่าวันละ 20 มวน) มานานเป็น 10-20 ปีขึ้นไป หรือไม่ก็มีประวัติอยู่การได้รับมลพิษทางอากาศในปริมาณมากและติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ไม่ว่าจะเป็นอากาศเสีย ฝุ่น ควัน หรือมีอาชีพทำงานในโรงงานหรือเหมืองแร่ที่หายใจเอาสารระคายเคืองเข้าไปเป็นประจำ

โรคถุงลมโป่งปองเป็นโรคที่พบได้บ่อยและเป็นสาเหตุลำดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตของประชากรทั่วโลก โดยในประเทศสหรัฐอเมริกาพบเป็นลำดับที่ 4 ของการเสียชีวิตของประชากร และหากนับเฉพาะโรคถุงลมโป่งพอง อัตราการพบโรคจะอยู่ที่ 18 คนต่อประชากร 1,000 คน ส่วนสถานการณ์โรคถุงลมโป่งพองในประเทศไทย ในปัจจุบันมีแนวโน้มสูงขึ้นตามลำดับเช่นเดียวกับทั่วโลก และเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเสียชีวิตลำดับต้น ๆ ของประชากรไทย โรคนี้จึงเป็นปัญหาทางสาธารณสุขของประเทศไทยโรคหนึ่ง

Emphysema คืออะไร
IMAGE SOURCE : ib.bioninja.com.au

หมายเหตุ : โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease : COPD) คือ ภาวะที่มีการอุดกั้นของทางเดินหายใจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากโรคเรื้อรังของระบบทางเดินหายใจซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายโรค ที่สำคัญได้แก่ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (Chronic bronchitis) และถุงลมโป่งพอง (Emphysema) โดยปกติแล้วมักจะพบทั้ง 2 โรคนี้ร่วมกัน แต่หากตรวจพบว่าปอดมีพยาธิสภาพของถุงลมที่โป่งพองออกเป็นลักษณะเด่นก็จะเรียกว่า “โรคถุงลมโป่งพอง

สาเหตุของถุงลมโป่งพอง

สาเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง
IMAGE SOURCE : theturboforte.com

อาการของถุงลมโป่งพอง

ในระยะเริ่มแรกจะมีอาการของหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (แต่อาการจะไม่เด่นเท่าผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดลมอักเสบ ซึ่งมักจะเริ่มมีอาการในช่วงอายุ 30-40 ปี โดยเฉพาะในผู้ที่สูบบุหรี่จัดมานานหลายปี) กล่าวคือ ผู้ป่วยจะมีอาการไอมีเสมหะเรื้อรังทุกวันนานเป็นแรมเดือนแรมปี ผู้ป่วยมักจะไอหรือขากเสมหะในคอหลังจากตื่นนอนตอนเช้าเป็นประจำจนคิดว่าเป็นเรื่องปกติและไม่ใส่ใจดูแลรักษา ต่อมาผู้ป่วยจะไอถี่ขึ้นตลอดทั้งวันและมีเสมหะจำนวนมาก ซึ่งในช่วงแรกเสมหะจะมีลักษณะเป็นสีขาว แต่ต่อมาเสมหะอาจเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว มีไข้ขึ้น หรือมีอาการหอบเหนื่อยกำเริบเป็นครั้งคราวจากโรคติดเชื้อแทรกซ้อน

ถ้าผู้ป่วยยังขืนสูบบุหรี่ต่อไปหรือไม่หยุดสาเหตุให้ได้ก็จะทำให้เป็นโรคถุงลมโป่งพองตามมา (จากระยะเริ่มมีอาการของหลอดลมอักเสบเรื้อรัง อาจใช้เวลามากกว่า 10 ปี) ซึ่งนอกจากจะมีอาการไอเรื้อรังแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจตื้นและหอบเหนื่อยง่ายตามมาด้วย โดยเฉพาะเวลาที่ออกแรงมาก (เช่น ยกของหนัก วิ่ง หรือเดินขึ้นบันได) หรือเมื่อมีโรคติดเชื้อแทรกซ้อนดังกล่าว แล้วต่อมาอาการหอบเหนื่อยจะค่อย ๆ เป็นมากขึ้นจนแม้แต่เวลาเดินตามปกติ เวลาพูด หรือในขณะที่ทำกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน รับประทานอาหาร ผู้ป่วยก็ยังรู้สึกเหนื่อย จนในท้ายที่สุด (ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 5-10 ปีขึ้นไป) แม้แต่อยู่เฉย ๆ ผู้ป่วยก็รู้สึกหอบเหนื่อยได้และไม่สามารถทำอะไรได้เลยเหมือนคนพิการ ต้องนอนเฉย ๆ และต้องใช้ออกซิเจนช่วยในการหายใจตลอดเวลา (ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้ต้องทนทุกข์ทรมานมาก ความเป็นอยู่และสุขภาพเสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ ซึ่งรวมทั้งทางด้านจิตใจด้วย นอกจากนั้นยังเป็นภาระกับบุคคลในครอบครัว และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาเป็นจำนวนมาก) เนื่องจากถุงลมปอดที่พิการอย่างรุนแรงหรือถูกทำลายไปมากจนไม่สามารถทำหน้าที่แลกเปลี่ยนอากาศได้เพียงพอต่อการนำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายให้เกิดพลังงาน

ส่วนอาการอื่น ๆ ที่อาจพบร่วมด้วย เช่น เกิดภาวะซึมเศร้า หายใจมีเสียงดังวี๊ด ๆ หรือรู้สึกเจ็บหน้าอกร่วมด้วย เมื่อแพทย์ตรวจร่างกายจะฟังเสียงปอดได้ผิดปกติ อัตราการหายใจเร็ว ส่วนผู้ป่วยในระยะที่เป็นมากขึ้นจะพบหน้าอกมีขนาดที่ใหญ่กว่าปกติ เนื่องจากปริมาตรของปอดที่ขยายใหญ่ขึ้นจากอากาศที่ค้างอยู่ในถุงลมมาก (ขยายออกทางด้านหน้าและหลังมากกว่าทางด้านข้าง) มีลักษณะเป็นรูปถังทรงกระบอกที่เรียกว่า “อกถัง” หรือ “อกโอ่ง” (Barrel chest) อาจพบลักษณะการหายใจออกแบบห่อปาก (Pursed lip) ซึ่งเป็นท่าทางที่ช่วยในการหายใจเอาอากาศออก หรือท่ายืนเอนตัวไปด้านหลังและยืดแขนออก เมื่อตรวจเล็บอาจพบลักษณะเล็บปุ้มหรือนิ้วข้อปลายมีลักษณะกลม (Clubbing finger) นอกจากนี้ ในผู้ป่วยที่เป็นมานานแล้วจะพบอาการอื่น ๆ ได้อีก เช่น เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลงอย่าง มีรูปร่างผอม ซึ่งในระยะท้าย ๆ ผู้ป่วยจะผอมมาก (เกิดจากการที่ร่างกายมีปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำ ทำให้ไปกระตุ้นการหลั่งสารเคมีชื่อ Tumor necrosis factor-alpha ซึ่งสารนี้จะทำให้ร่างกายใช้พลังงานสูงกว่าปกติ หากผู้ป่วยยังกินเท่าเดิมก็จะผอมลงเรื่อย ๆ และปริมาณของออกซิเจนที่ต่ำยังไปกระตุ้นให้ไตหลั่งฮอร์โมนอีกหลายชนิด จึงทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ทำให้เกลือแร่ชนิดโซเดียมคั่งและร่างกายเกิดการบวมน้ำ และออกซิเจนที่ต่ำยังไปกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงของไขกระดูกให้เพิ่มสูงขึ้นเพื่อช่วยขนส่งออกซิเจน จึงทำให้มีปริมาณของเม็ดเลือดแดงในเลือดสูงกว่าปกติ) อาจเกิดภาวะกระดูกพรุน กล้ามเนื้อโดยเฉพาะที่แขนขาเล็กลงและกล้ามเนื้ออ่อนแรงลงด้วย

ส่วนผู้ป่วยในระยะที่เป็นรุนแรงหรือมีอาการรุนแรงมากแล้ว มักพบอาการหายใจลำบาก ปากเขียว เล็บเขียว (เนื่องจากเนื้อเยื่อไม่ได้รับออกซิเจนในปริมาณที่เพียงพอ) เกิดภาวะความดันโลหิตสูงของหลอดเลือดที่ไหลเข้าสู่ปอดซึ่งอาจส่งผลทำให้เกิดภาวะหัวใจวายได้

อาการถุงลมโป่งพอง
IMAGE SOURCE : healthdaysguide.com

อาการของผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองอาจกำเริบขึ้นเป็นครั้งคราวได้ (โดยเฉลี่ยมักจะเกิดขึ้นปีละ 1-2 ครั้ง) ทำให้มีอาการหอบเหนื่อยมากขึ้นกว่าปกติที่เป็นอยู่อย่างฉับพลันหรือไอมากขึ้น มีเสมหะปริมาณมาก เสมหะเป็นสีเหลือง/เขียวหรือมีลักษณะเป็นหนอง มีไข้ขึ้น จนต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียในปอดแทรกซ้อน

ผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองจะมีอาการแตกต่างกันได้มาก ตั้งแต่มีอาการเพียงเล็กน้อยไปจนถึงมีอาการมากถึงขนาดไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ และผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคถุงลมโป่งพองอาจจะไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้มานานแล้วก็ได้ เพราะอาการของโรคจะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงทำให้ผู้ป่วยไม่ทันได้สังเกตเห็นถึงอาการใด ๆ

ภาวะแทรกซ้อนของถุงลมโป่งพอง

มักเกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนเป็นครั้งคราว เช่น หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการหอบกำเริบรุนแรง ในระยะแรกอาจเป็นประมาณปีละ 1-2 ครั้ง แต่เมื่อเป็นรุนแรงมากขึ้นก็จะมีโอกาสติดเชื้อได้ถี่ขึ้นจนผู้ป่วยอาจต้องเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลอยู่บ่อย ๆ

ในระยะรุนแรง ผู้ป่วยมักมีภาวะการหายใจล้มเหลวเรื้อรังร่วมด้วย และอาจมีภาวะหัวใจวายแทรกซ้อน มีอาการหอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้ หลอดเลือดที่คอโป่ง เท้าบวม ตับโต หัวใจห้องขวาล่างโต ที่เรียกว่า “โรคหัวใจเหตุจากปอด” (Cor pulmonale)

ส่วนภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจพบได้ เช่น ไอออกมาเป็นเลือดจากการอักเสบของหลอดลม, ไส้เลื่อนกำเริบจากอาการไอเรื้อรัง, เกิดภาวะที่โพรงเยื่อหุ้มปอดมีอากาศหรือปอดแตก (Pneumothorax) ซึ่งเป็นภาวะที่สามารถเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ในรายที่มีอาการรุนแรง เพราะการทำงานของปอดได้ถูกทำลายไปบ้างแล้ว, เกิดถุงลมที่พองตัวผิดปกติ (Giant bullae) ซึ่งสามารถพองตัวใหญ่ได้ประมาณครึ่งหนึ่งของปอดและเพิ่มโอกาสทำให้ปอดแตกได้, ภาวะเลือดข้น (Polycythemia) ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือด (Thrombosis)

โดยธรรมชาติของโรคถุงลมโป่งพองอาการของผู้ป่วยจะค่อย ๆ แย่ลงเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ และจะเสียชีวิตจากภาวะหายใจล้มเหลวในที่สุด การหยุดที่สาเหตุ (หยุดสูบบุหรี่) จะทำให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้นานขึ้นและมากขึ้น มีอาการเหนื่อยน้อยลง การดำเนินของโรค/การลุกลามของโรคช้าลง แต่ไม่สามารถทำให้ปอดที่เกิดพยาธิสภาพแล้วหายเป็นปกติได้

การวินิจฉัยถุงลมโป่งพอง

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพองในเบื้องต้นได้จากประวัติและอาการแสดงของผู้ป่วย (โดยเฉพาะอาการไอเรื้อรัง หอบเหนื่อยง่าย มีประวัติการสูบบุหรี่จัดมานาน) และจะยืนยันการวินิจฉัยด้วยการพิเศษต่าง ๆ เพิ่มเติม (เครื่องไม้เครื่องมือในการตรวจอาจแตกต่างกันได้บ้าง แต่ผลการตรวจจะช่วยให้แพทย์วางแนวทางในการรักษาได้อย่างถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น) ได้แก่

การแยกโรค

อาการไอเรื้อรัง หอบเหนื่อยง่าย อาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่โรงถุงลมโป่งพองได้ เช่น

อย่างไรก็ตาม หากพบว่ามีอาการไอเรื้อรังหรือหอบเหนื่อยง่ายก็ควรรีบไปพบแพทย์เสมอ

การรักษาถุงลมโป่งพอง

เนื่องจากโรคถุงลมโป่งพองเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะหากปอดมีพยาธิสภาพเกิดขึ้นแล้วก็จะไม่สามารถทำให้ปอดกลับมาเป็นปกติได้อีก ดังนั้น การรักษาจะเน้นไปที่การลดอาการหรือชะลอการดำเนินของโรค/การลุกลามของโรคให้ช้าลง การตรวจพบโรคได้อย่างทันท่วงทีจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพราะในรายที่เป็นรุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

หากสงสัยว่าเป็นโรคถุงลมโป่งพอง เช่น มีอาการไอมีเสมหะเรื้อรัง หอบเหนื่อยง่ายเวลาออกแรงหรือใช้กำลัง ซึ่งค่อย ๆ เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ มีประวัติการสูบบุหรี่จัดหรือสัมผัสมลพิษทางอากาศมาเป็นเวลานาน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย หากตรวจพบว่าเป็นโรคนี้ แพทย์จะอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจถึงธรรมชาติของโรคและแนวทางการรักษาทั่วไป ให้คำปรึกษาแนะนำและส่งเสริมให้ญาติเข้ามามีบทบาทในการให้กำลังใจผู้ป่วยในการเลิกสูบบุหรี่และติดตามการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งดูแลในเรื่องของโภชนาการต่าง ๆ การให้ยารักษา การให้ออกซิเจนที่บ้านสำหรับผู้ป่วยระยะรุนแรงเพื่อใช้ช่วยหายใจ บรรเทาอาการหอบเหนื่อย และการเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้มีคุณภาพที่ดี ลดความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย และไม่ให้สิ้นเปลืองเกินเหตุ

ส่วนในรายที่มีอาการหายใจหอบรุนแรง หรือสงสัยว่าเป็นปอดอักเสบ ปอดทะลุ หรือภาวะหัวใจวาย แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาลเพื่อให้การรักษาไปตามสาเหตุที่ตรวจพบ ซึ่งอาจต้องให้ออกซิเจน ใส่ท่อหายใจ และใช้เครื่องช่วยหายใจ

สำหรับแนวทางในการรักษาโรคถุงลมโป่งพองนั้นมีดังนี้

ผลการรักษาของโรคถุงลมโป่งพองจะขึ้นอยู่กับระยะและความรุนแรงของโรค ถ้าเป็นระยะแรก (ความรุนแรงปานกลาง คือมีค่า FEV1 มากกว่า 50% ของค่ามาตรฐาน) และผู้ป่วยสามารถเลิกสูบบุหรี่ได้โดยเด็ดขาด การรักษาก็มักจะได้ผลดี โรคจะไม่ลุกลามรุนแรงมากขึ้น แต่ถ้าปล่อยให้ลุกลามจนถึงระยะรุนแรง (สมรรถภาพของปอดลดลงอย่างมากแล้ว คือมีค่า FEV1 น้อยกว่า 30% ของค่ามาตรฐาน) ก็มักจะเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ภายใน 1-5 ปี (เช่น ปอดอักเสบ ปอดแตก หัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะการหายใจล้มเหลว ภาวะสิ่งอุดตันหลอดเลือดแดงปอด) โดยเฉลี่ยผู้ป่วยทุกระดับความรุนแรงจะมีอัตราการเสียชีวิตมากกว่า 50% ใน 10 ปีหลังจากที่ได้รับการวินิจครั้งแรก

การป้องกันถุงลมโป่งพอง

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “ถุงลมปอดโป่งพอง (Emphysema)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 432-436.
  2. มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 361 คอลัมน์ : สารานุกรมทันโรค.  “ถุงลมปอดโป่งพอง”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.  [06 ก.ย. 2017].
  3. หาหมอดอทคอม.  “โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema)”.  (พญ.สลิล ศิริอุดมภาส).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [08 ก.ย. 2017].
  4. ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ.  “โรคถุงลมโป่งพอง (Pulmonary Emphysema)”.  (นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.bangkokhealth.com.  [10 ก.ย. 2017].
  5. พบแพทย์.  “ถุงลมโป่งพอง”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.pobpad.com.  [12 ก.ย. 2017].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 ถุงลมโป่งพอง
  • 2 สาเหตุของถุงลมโป่งพอง
  • 3 อาการของถุงลมโป่งพอง
  • 4 ภาวะแทรกซ้อนของถุงลมโป่งพอง
  • 5 การวินิจฉัยถุงลมโป่งพอง
  • 6 การแยกโรค
  • 7 การรักษาถุงลมโป่งพอง
  • 8 การป้องกันถุงลมโป่งพอง
  • 9 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ