ตาปลา อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคตาปลา 29 วิธี

โรคตาปลา

ตาปลา (Corns) เป็นโรคที่เนื้อเยื่อชั้นบนของผิวหนังมีการหนาตัวและนูนขึ้นมาเป็นตุ่มเล็ก ๆ ซึ่งเกิดจากแรงกดหรือแรงเสียดสีเป็นเวลานาน ๆ มักเกิดขึ้นตรงบริเวณที่มีปุ่มกระดูกนูน โดยเฉพาะที่บริเวณฝ่าเท้าและนิ้วเท้า ตาปลาเป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทั่วไป พบได้ในคนทุกเชื้อชาติ ทุกเพศ ทุกวัย แต่จะพบได้ในผู้สูงอายุมากกว่าวัยอื่น และส่วนใหญ่จะไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากโรคนี้แต่อย่างใด (ยกเว้นในผู้ป่วยเบาหวาน ถ้าเป็นแล้วไม่รักษาให้ดี อาจเกิดการอักเสบรุนแรงได้)

สาเหตุของตาปลา

ตาปลาเกิดจากการที่ผิวหนังถูกเสียดสีหรือถูกกดทับบ่อย ๆ และเป็นเวลานาน ซึ่งอาจเกิดได้จากการกระทำของตัวผู้ป่วยเองหรือเกิดจากความผิดปกติของร่างกายผู้ป่วยก็ได้ ดังนี้

อาการของตาปลา

เนื่องจากมือและเท้าเป็นอวัยวะที่ใช้งานบ่อย รวมทั้งจากการเสียดสีและถูกกดทับอยู่บ่อยครั้ง จึงมักทำให้พบตาปลาในตำแหน่งนี้กันมาก ส่วนบริเวณอื่น ๆ ที่อาจพบได้ก็เช่น บริเวณขา และหน้าผาก ซึ่งจะพบได้ในชาวมุสลิมที่สวดมนต์โดยการคุกเข่าและใช้หน้าผากกดทับพื้นเป็นประจำ ซึ่งโดยหลัก ๆ แล้วตาปลาจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ดังนี้

ภาวะแทรกซ้อนของตาปลา

ตาปลาเป็นโรคที่ไม่รุนแรงและไม่ทำให้เสียชีวิต เพียงแต่จะก่อให้เกิดอาการเจ็บและเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวันบ้างเท่านั้น โดยผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้มีดังนี้

การวินิจฉัยโรคตาปลา

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้โดยดูจากอาการและการตรวจรอยโรคเป็นหลัก แต่ที่สำคัญคือต้องแยกตาปลาออกจากหูด เพราะทั้งสองโรคนี้จะเป็นตุ่มนูนแข็งที่ผิวหนังคล้าย ๆ กัน แต่จะมีสาเหตุและการรักษาที่แตกต่างกัน โดยแพทย์จะทดสอบโดยการใช้มีดเฉือนตุ่มนูนออกบาง ๆ ถ้าเป็นหูดจะมีเลือดออกเล็ก ๆ ของเส้นเลือดที่มาเลี้ยงหูด เมื่อกดจากด้านข้างเข้าหากันจะรู้สึกเจ็บ แต่ถ้าเป็นตาปลาเมื่อบีบด้านข้างจะไม่เจ็บ จะเจ็บก็ต่อเมื่อกดลงไปตรง ๆ ที่ตุ่มนูน และในตุ่มนั้นจะไม่มีเลือดออก

สำหรับการวินิจฉัยเพื่อแยกชนิดตาปลานั้น จะทำได้โดยการใช้ใบมีดเฉือนตุ่มนูนออกบาง ๆ เช่นกัน ถ้าเป็นตาปลาชนิดคอร์นจะพบจุดแข็งอยู่ตรงกลาง แต่ถ้าเป็นตาปลาชนิดคัลลัสจะไม่มีจุดแข็งอยู่ตรงกลาง นอกจากนี้ที่ผิวหนังของตาปลาชนิดคัลลัสยังพบลายเส้นของผิวหนังเป็นปกติ ในขณะที่ตาปลาชนิดชนิดคอร์นจะไม่พบลายเส้นของผิวหนัง

ในกรณีที่มีปัญหาในการวินิจฉัยแยกกับโรคผิวหนังอื่น ๆ ที่มีตุ่มนูน เช่น ตุ่มนูนที่เกิดในตำแหน่งอื่น ๆ ที่ไม่น่าจะเป็นตาปลาได้ หรือตุ่มนูนหลายตุ่ม แพทย์อาจตัดชิ้นเนื้อผิวหนังเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา ถ้าพบว่าเป็นตาปลาชนิดคอร์นจะพบผิวหนังชั้นหนังกำพร้ามีการหนาตัวขึ้น โดยที่บริเวณตรงกลางของตุ่มนูน ผิวหนังชั้นบนสุดจะมีการบุ๋มตัวลงไป และถ้าเป็นตาปลาชนิดคัลลัสจะไม่พบการหนาตัวของผิวหนังชั้นหนังกำพร้า แต่จะพบชั้นขี้ไคลมีการหนาตัวมากขึ้น

เมื่อวินิจฉัยได้แล้ว ในขั้นตอนต่อไปคือการหาสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเป็นตาปลา ได้แก่ การซักประวัติอาชีพการทำงาน กิจกรรมที่ผู้ป่วยมักทำเป็นประจำ การตรวจดูรูปร่างของมือหรือเท้าว่ามีรูปร่างผิดปกติหรือมีกระดูกยื่นออกมาผิดปกติหรือไม่ ซึ่งอาจต้องอาศัยวิธีการตรวจเอกซเรย์เพื่อดูรูปร่างของกระดูกต่อไป นอกจากนี้แพทย์ยังอาจใช้วิธีการตรวจดูการรับน้ำหนักของเท้าในขณะเดินด้วย (Pedobarography)

วิธีรักษาตาปลา

วิธีป้องกันตาปลา

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “ตาปลา (Corn), หนังหนาด้าน (Callus)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1031-1033.
  2. หาหมอดอทคอม.  “ตาปลา (Corns)”.  (พญ.สลิล ศิริอุดมภาส).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [23 มี.ค. 2016].

ภาพประกอบ : institutebeaute.com, www.elitepodiatry.co.uk, www.pcds.org.uk, ww.wikihow.com, preventdisease.com, the-priefy.exteen.com, www.bunionsurgerycalifornia.com

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 โรคตาปลา
  • 2 สาเหตุของตาปลา
  • 3 อาการของตาปลา
  • 4 ภาวะแทรกซ้อนของตาปลา
  • 5 การวินิจฉัยโรคตาปลา
  • 6 วิธีรักษาตาปลา
  • 7 วิธีป้องกันตาปลา
  • 8 เรื่องที่เกี่ยวข้อง
  • 9 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ