ซิฟิลิส (Syphilis) อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคซิฟิลิส 5 วิธี

โรคซิฟิลิส

ซิฟิลิส (Syphilis) คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคหนึ่งที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการฉีดยาปฏิชีวนะ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษาในระยะยาวอาจแสดงอาการในหลายระบบของร่างกายซึ่งร้ายแรงได้มากกว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ โรคนี้มีระยะแฝงตัวของโรคที่ค่อนข้างยาวนาน และสามารถแพร่ไปให้คู่สมรสและทารกในครรภ์ได้

โรคซิฟิลิสเป็นโรคที่พบได้บ่อยรองจากหนองในแท้ (Gonorrhea) และหนองในเทียม (Non-gonococcal urethritis) และสามารถพบเกิดได้ทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย

สาเหตุของโรคซิฟิลิส

เชื้อซิฟิลิส
IMAGE SOURCE : www.microbeworld.org

อาการของโรคซิฟิลิส

โรคซิฟิลิสมีอาการแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้

ซิฟิลิสแต่กำเนิด
IMAGE SOURCE : Ali Klein

การวินิจฉัยโรคซิฟิลิส

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากการตรวจเลือดหาวีดีอาร์แอล (Venereal Disease Research Laboratory test – VDRL) เพื่อตรวจหาภูมิต่อเชื้อซิฟิลิส (จะพบเลือดบวก) การตรวจเชื้อจากน้ำเหลืองจากแผลหรือผื่นที่ปรากฏบนตัวผู้ป่วยไปส่องกล้องเพื่อหาตัวเชื้อโรค (Darkfield exam) หรือจากการตรวจพิเศษอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์

การวินิจฉัยซิฟิลิสจะต้องอาศัยการตรวจวีดีอาร์แอลเป็นสำคัญ ซึ่งการตรวจจะดูจากอาการเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตาม ควรตรวจเลือดทุกรายเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นซิฟิลิส หรือถ้าเป็นจะได้ให้การรักษาตั้งแต่ระยะแรกก่อนที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมา

วิธีรักษาโรคซิฟิลิส

เมื่อเกิดแผลบริเวณอวัยวะเพศโดยเฉพาะหลังการมีเพศสัมพันธ์ควรไปพบแพทย์เสมอ (อย่าพยายามรักษาโรคนี้ด้วยตัวเองไม่ว่าจะเป็นวิธีใด ๆ) เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของแผลที่เกิดขึ้นและรับยารักษาชนิดและขนาดที่ตรงกับโรค และเมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคซิฟิลิส แพทย์จะให้การรักษาโรคซิฟิลิสด้วยยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนิซิลลินในขนาดสูง ทั้งนี้ระยะเวลาการรักษาจะขึ้นอยู่กับระยะของโรคที่เป็นด้วยและผู้ป่วยจะต้องไปฉีดยาตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง เพราะการขาดยาจะเป็นสาเหตุสำคัญทำให้โรคไม่หายขาดและเกิดโรคในระยะที่ 3 ได้

  1. สำหรับซิฟิลิสในระยะที่ 1 และ 2 แพทย์จะฉีดเบนซาทีนเพนิซิลลิน (Benzathine penicillin) ให้ในขนาด 2.4 ล้านยูนิตเข้ากล้ามเนื้อเพียงครั้งเดียว (สำหรับระยะที่ 2 อาจฉีดซ้ำอีกครั้งในอีก 1 สัปดาห์ต่อมา) แต่ถ้าผู้ป่วยแพ้ยานี้ แพทย์อาจให้รับประทานยาเตตราไซคลีน (Tetracycline) ครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง หรือดอกซีไซคลีน (Doxycycline) ครั้งละ 100 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 15 วัน แต่ถ้ารับประทานยาเตตราไซคลีนไม่ได้ แพทย์จะให้รับประทานยาอิริโทรมัยซิน (Erythromycin) ในขนาดเดียวกันแทน นาน 15 วัน
  2. สำหรับซิฟิลิสในระยะแฝง (เป็นมานานมากกว่า 2 ปี ตั้งแต่เริ่มเป็นแผลริมแข็ง) หรือแผลซิฟิลิสเรื้อรัง หรือซิฟิลิสเข้าระบบหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular syphilis) แพทย์จะฉีดเบนซาทีนเพนิซิลลิน (Benzathine penicillin) ให้ครั้งละ 2.4 ล้านยูนิตเข้ากล้ามเนื้อ เป็นจำนวน 3 ครั้ง โดยฉีดห่างกันทุก 1 สัปดาห์ แต่ถ้าผู้ป่วยแพ้ยานี้ แพทย์จะให้รับประทานยาเตตราไซคลีน (Tetracycline), ดอกซีไซคลีน (Doxycycline) หรืออิริโทรมัยซิน (Erythromycin) ในขนาดดังกล่าวข้างต้นแทน นาน 30 วัน
  3. ในรายที่เป็นซิฟิลิสเข้าระบบประสาท (Neurosyphilis) แพทย์จะให้การรักษาโดยการฉีดเพนิซิลลินจี (Penicillin G) ให้ในขนาด 2-4 ล้านยูนิต เข้าหลอดเลือดดำ ทุก 4 ชั่วโมง นาน 14 วัน แต่ถ้าผู้ป่วยแพ้ยานี้ แพทย์จะให้รับประทานยาดอกซีไซคลีน (Doxycycline) แทน โดยให้รับประทานครั้งละ 300 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง นาน 30 วัน
  4. สำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคซิฟิลิส แพทย์จะให้การรักษาตามระยะของโรคเหมือนผู้ป่วยทั่วไป ถ้าผู้ป่วยแพ้ยาเพนิซิลลิน แพทย์จะให้รับประทานยาอิริโทรมัยซิน (Erythromycin) แทน โดยให้รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง นาน 30 วัน
  5. สำหรับซิฟิลิสแต่กำเนิด แพทย์จะให้การรักษาโดยการฉีดเพนิซิลลินจี (Penicillin G) ให้ในขนาดวันละ 50,000 ยูนิต/กิโลกรัม โดยแบ่งให้วันละ 2 ครั้ง นาน 10 วัน
ยารักษาซิฟิลิส
IMAGE SOURCE : www.healthcareatoz.com

คำแนะนำสำหรับผู้เป็นโรคซิฟิลิส

วิธีป้องกันโรคซิฟิลิส

  1. วิธีที่ดีที่สุดคือการไม่มีเพศสัมพันธ์ หรือมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนเพียงคนเดียว และทราบผลเลือดของคู่นอนด้วยว่าปกติ ไม่ติดเชื้อ
  1. คู่นอนควรจะต้องแจ้งถึงสถานะการติดเชื้อเอชไอวีหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ รวมทั้งซิฟิลิส เพื่อจะได้ป้องกันการติดเชื้อ
  2. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และใช้สารเสพติด เพราะจะทำให้ขาดสติและเพิ่มการมีเพศสัมพันธ์แบบเสี่ยงได้
  3. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรคซิฟิลิส
  4. หลีกเลี่ยงการเที่ยวหรือการสำส่อนทางเพศ และถ้าจะหลับนอนกับคนที่สงสัยว่าเป็นโรค ควรป้องกันการติดเชื้อโดยสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ซึ่งจะช่วยป้องกันได้เกือบ 100%
  5. แผลของอวัยวะเพศ เช่น ซิฟิลิส เกิดได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ทั้งที่ถุงยางครอบถึงหรือไม่ถึงได้ การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคซิฟิสได้
  6. การใช้ถุงยางอนามัยที่มีสารฆ่าเชื้ออสุจิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Nonoxynol-9 นั้นไม่ได้ผลดีไปกว่าถุงยางที่ไม่มีสารชนิดนี้ในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงไม่แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยที่มีสารชนิดนี้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  7. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมทั้งซิฟิลิสไม่สามารถป้องกันได้ด้วยการล้างอวัยวะเพศ การปัสสาวะ หรือสวนล้างช่องคลอดทันทีหลังการมีเพศสัมพันธ์
  8. ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศและร่างกายอยู่เสมอ รักษาสุขอนามัยพื้นฐานให้ดีโดยการปฏิบัติตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและช่วยลดโอกาสการติดเชื้อต่าง ๆ
  9. ไปพบแพทย์เสมอเมื่อมีอาการดังกล่าว อย่ารักษาด้วยตัวเอง หรือไปพบแพทย์เมื่อมีความกังวลในอาการหรือสงสัยว่าตนเองอาจติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งรวมถึงซิฟิลิส
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “ซิฟิลิส (Syphilis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1044-1046.
  2. Siamhealth.  “ซิฟิลิส Syphilis”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.siamhealth.net.  [05 มี.ค. 2017].
  3. หาหมอดอทคอม.  “ซิฟิลิส (Syphilis)”.  (นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [06 มี.ค. 2017].
  4. ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย.  “ซิฟิลิส Syphilis”.  (โดยคณะอนุกรรมการภาคประชาชนและสังคม พ.ศ.2556-2558).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.rtcog.or.th.  [06 มี.ค. 2017].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 โรคซิฟิลิส
  • 2 สาเหตุของโรคซิฟิลิส
  • 3 อาการของโรคซิฟิลิส
  • 4 การวินิจฉัยโรคซิฟิลิส
  • 5 วิธีรักษาโรคซิฟิลิส
  • 6 คำแนะนำสำหรับผู้เป็นโรคซิฟิลิส
  • 7 วิธีป้องกันโรคซิฟิลิส
  • 8 เรื่องที่เกี่ยวข้อง
  • 9 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ