จุกโรหินี สรรพคุณและประโยชน์ของต้นจุกโรหินี 20 ข้อ (บวบลม)

จุกโรหินี

จุกโรหินี ชื่อวิทยาศาสตร์ Dischidia major (Vahl) Merr.[1] (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Dischidia rafflesiana Wall.[2]) จัดอยู่ในวงศ์ตีนเป็ด (APOCYNACEAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยนมตำเลีย (ASCLEPIADOIDEAE หรือ ASCLEPIADACEAE)[1]

สมุนไพรจุกโรหินี มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ข้าวฟ่าง (คนเมือง), บวบลม (นครราชสีมา, อุบลราชธานี), พุงปลา (จันทบุรี, ตราด), กล้วยมุสัง (พังงา), จุรูหินี (ชุมพร), กล้วยไม้ (ภาคเหนือ), โกฐพุงปลา จุกโรหินี พุงปลาช่อน (ภาคกลาง), เถาพุงปลา (ระยอง, ภาคตะวันออก), โกฎฐ์พุงปลา (ไทย), นมตำไร (เขมร) เป็นต้น[1],[3],[4]

ลักษณะของจุกโรหินี

ต้นจุกโรหินี

ใบจุกโรหินี

บวบลม

ดอกบวบลม

ดอกจุกโรหินี

ผลจุกโรหินี

สรรพคุณของจุกโรหินี

  1. ผลนำมาต้มกับน้ำดื่ม จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ (ผล)[2]
  2. ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย ช่วยบำรุงกำลัง (ราก)[5]
  3. รากใช้เป็นยาแก้ไข้เพื่อโลหิต แก้ลมปลายไข้ (ราก)[2]
  4. ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ช่วยลดความร้อนในร่างกาย (ราก)[7]
  5. รากจุกโรหินีนำมาเคี้ยวกับพลูจะช่วยแก้อาการไอ (ราก)[1],[2],[4]
  1. ช่วยแก้หอบหืด (ราก)[5]
  2. ช่วยแก้อาการอาเจียน (ใบ, ราก)[1],[2],[4]
  3. ช่วยแก้เสมหะผิดปกติ เสมหะพิการ (ใบ, ราก)[1],[2],[4]
  4. ผลนำมาดึงไส้ออก ใส่น้ำ นำไปเผาไฟให้อุ่น ใช้เป็นยาหยอดหู หรือจะนำผลมาเผาไฟเอาน้ำใช้หยอดหูน้ำหนวก (ผล)[2]
  5. ผลนำมาผสมกับมดแดงฮ้าง ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ลมพันไส้ (ผล)[2]
  6. เถานำมาต้มกับน้ำดื่มจะช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้ (เถา)[2]
  7. ผลนำมาผสมกับฝอยลม ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาขับลมในกระเพาะอาหาร หรือจะนำผลมาเผาไฟเอาน้ำ ใช้ขับลม (ผล)[2]
  8. ทั้งต้นมีรสฝาดและสุขุม ใช้ต้มดื่มเป็นยาแก้อาการปวดท้องอันเนื่องมาจากโรคกระเพาะอาหารอักเสบ (ทั้งต้น)[2],[5]
  9. ใบหรือรากใช้เป็นยาแก้อาการท้องเดิน ท้องร่วง ท้องเสีย (ใบ, ราก)[1],[2],[4],[5]
  10. ช่วยแก้บิด แก้ปวดเบ่ง มูกเลือด (ใบ, ราก)[1],[2],[4]
  11. ทั้งต้นใช้เข้ายาแก้โรคตับพิการ (ทั้งต้น)[2]
  12. ใบที่เปลี่ยนรูป เอาข้าวมายัดใส่แล้วนำไปเผาไฟจนข้าวสุก แล้วข้าวจะกลายเป็นสีม่วง นำมารับประทานเพื่อช่วยป้องกันอาการเจ็บม้ามในขณะออกกำลังกายได้ (ใบ)[3]
  13. ใบมีรสฝาด ใช้ภายนอกเป็นยาฝาดสมาน สมานแผล หรือจะใช้รากปรุงเป็นยาฝาดสมาน หรือใช้ภายนอกนำมาทาแผลเพื่อเป็นยาสมานแผลก็ได้เช่นกัน (ใบ, ราก)[1],[2],[4]

ประโยชน์ของจุกโรหินี

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1.  “จุกโรหินี (Chuk Rohini)”.  (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  หน้า 96.
  2. ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.  “บวบลม”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.phargarden.com.  [1 มี.ค. 2014].
  3. โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง, สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง (องค์การมหาชน).  “จุกโรหินี”.  อ้างอิงใน: หนังสือชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย (เต็ม สมิตินันทน์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: eherb.hrdi.or.th.  [1 มี.ค. 2014].
  4. หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  “โกฐพุงปลา”.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  หน้า 80-82.
  5. ไทยเกษตรศาสตร์.  “จุกโรหินี”.  อ้างอิงใน: วัลลิ์รุกขบุปผชาติ ตามรอยพระบาทบรมราชกุมารี โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaikasetsart.com.  [1 มี.ค. 2014].
  6. ผักพื้นบ้านในประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร.  “โกฐพุงปลา”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/Research_AntioxidativeThaiVegetable/.  [1 มี.ค. 2014].
  7. พฤกษาน่าสน มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร.

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by epiforums, Jardin Boricua, wildsingapore)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 จุกโรหินี
  • 2 ลักษณะของจุกโรหินี
  • 3 สรรพคุณของจุกโรหินี
  • 4 ประโยชน์ของจุกโรหินี
  • 5 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ