on
งูสวัด สัญญาณเตือนเมื่อภูมิต่ำ (ตอนที่ 3)
13 มีนาคม 2017
ผู้ที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อนล้วนมีความเสี่ยงในการเป็นโรคงูสวัดได้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคงูสวัดซึ่งได้แก่
- อายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น โดยนักวิเคราะห์บางรายได้มีการประเมินว่าร้อยละ 50 ของผู้ที่อายุ 80 ปีขึ้นไปจะเป็นโรคงูสวัด
- ป่วยด้วยโรคบางชนิดมาก่อนที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ เช่น ติดเชื้อเฮชไอวี เป็นเอดส์ shingles' target='_blank'>โรคมะเร็ง
- อยู่ระหว่างการรักษาโรคมะเร็ง เพราะการรักษาด้วยรังสีบำบัดหรือเคมีบำบัดสามารถทำให้ภูมิคุ้มกันต่อโรคลดลงและอาจกระตุ้นให้เกิดโรคงูสวัดได้
- มีการใช้ยาบางชนิดอย่างการใช้ยากดภูมิคุ้มกันในกรณีที่มีการปลูกถ่ายอวัยวะก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคงูสวัดได้ เช่น ยา Prednisone
- มีปัญหาเรื่องความเครียด
โรคงูสวัดสามารถทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนได้ ดังนี้
- ปวดปลายประสาทหลังจากเป็นงูสวัด (Postherpetic neuralgia) โดยร้อยละ 10-15 ของผู้ที่ป่วยเป็นโรคงูสวัดจะมีอาการนี้
- สูญเสียการมองเห็น – กรณีที่เป็นงูสวัดรอบดวงตา (Ophthalmic shingles) สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อและปวดในตา ซึ่งอาจะเป็นผลให้สูญเสียการมองเห็น
- ปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท (Neurological problems) ขึ้นกับว่าประสาทส่วนไหนที่ติดเชื้อ โดยงูสวัดสามารถเป็นเหตุให้สมองอักเสบ (Encephalitis) ใบหน้าเป็นอัมพาต (Facial paralysis) มีปัญหาเรื่องการได้ยิน หรือ การทรงตัว (Balance problems)
- ผิวหนังติดเชื้อ – กรณีที่ได้รับการรักษาไม่ถูกต้องอาจทำให้ผิวหนังติดเชื้อแบคทีเรียได้
ทั้งนี้ หากหญิงมีครรภ์เป็นโรคอีสุกอีใส ทารกจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคงูสวัดใน 2 ขวบปีแรก และหากทารกเป็นโรคอีสุกอีใสในขวบปีแรก ทารกจะมีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคงูสวัดในวัยเด็ก
การรักษาแต่เนิ่นๆ จะสามารถช่วยทำให้ผื่นหายเร็วขึ้นและลดอาการปวดให้น้อยลง และหากเริ่มรักษาภายใน 3 วัน หลังจากที่เห็นผื่นขึ้น ก็จะทำให้โอกาสในการเกิดอาการปวดปลายประสาทหลังจากการเป็นงูสวัดน้อยลง
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันยังไม่มียาเฉพาะในการรักษาโรคงูสวัด ส่วนใหญ่จะรักษาด้วยยาต้านไวรัสซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของอาการแทรกซ้อนด้วย เช่น ยา
- Acyclovir
- Valacyclovir
- Famciclovir
บรรณานุกรม
1. Shingles - Topic Overview. [2017, March 12].
2. Shingles. [2017, March 12.