ความหมาย ลมพิษ

ความหมาย ลมพิษ

ลมพิษ (Urticaria) เป็นอาการทางผิวหนังที่พบเห็นกันได้บ่อย เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ โดยจะปรากฏเป็นผื่นบวมนูนสีขาวล้อมด้วยสีแดง โดยผื่นที่ปรากฏนั้นจะมีขนาดและรูปร่างแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดปฏิกิริยา ส่วนขนาดของผื่นมีตั้งแต่เล็กมาก ไปถึงขนาดใหญ่ เกิดผื่นจุดเล็ก ๆ มารวมกันจนทำให้เกิดเป็นดวงใหญ่ขึ้น ผู้ป่วยมักมีอาการคันหรืออาจรู้สึกแสบในบริเวณที่เป็นผื่น นอกจากนั้น ผื่นลมพิษสามารถเกิดขึ้นได้บนทุกส่วนในร่างกาย แม้กระทั่งใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น คอ หรือหู โดยมากแล้วมักเกิดไม่เกิน 24 ชั่วโมง ผื่นจะค่อย ๆ จางหายไป

ลมพิษ

ลมพิษแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ตามระยะเวลาและอาการที่เกิดขึ้น คือ

  • ลมพิษชนิดเฉียบพลัน (Acute Urticaria) ลมพิษที่เกิดขึ้นมาและหายไปได้เองอย่างรวดเร็ว โดยส่วนใหญ่อาการจะหายไปเองภายในเวลา 48 ชั่วโมง หรือในรายที่เป็นนาน ก็จะเป็นติดต่อกันไม่เกิน 6 สัปดาห์
  • ลมพิษชนิดเรื้อรัง (Chronic Urticaria) มีอาการลมพิษเป็น ๆ หาย ๆ ต่อเนื่องกันเกิน 6 สัปดาห์ขึ้นไป โดยส่วนใหญ่ลมพิษชนิดเรื้อรังจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่อาการของลมพิษจะทำให้เกิดความรำคาญหรือความไม่สบายตัวมาก ๆ ซึ่งส่งผลต่อการดำรงชีวิต หรือการนอนหลับของผู้เป็นลมพิษได้

เราจะพบเห็นผู้ที่เป็นลมพิษได้อยู่บ่อย ๆ เพราะว่าลมพิษเกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัย แต่พบว่าเกิดได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

อาการของลมพิษ

มักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน เป็นผื่นลักษณะนูนแดง จะมีขนาดและรูปร่างแตกต่างกันไป อาจเกิดขึ้นได้ที่บริเวณใบหน้า แขน ขา ลำตัว รวมไปถึงส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ผู้ป่วยจะรู้สึกคันมากและหากเกาก็จะเกิดผื่นแดงมากยิ่งขึ้น

สาเหตุของลมพิษ

ตุ่มนูนของลมพิษเกิดขึ้นเพราะร่างกายได้ปล่อยสารฮีสตามีนและสารอื่น ๆ ไปสู่กระแสเลือด ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่พบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดปฏิกิริยาที่ผิวหนัง หรือไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมจึงเกิดลมพิษเรื้อรังได้  แต่อาจเกิดจากสิ่งกระตุ้นหลาย ๆ อย่างในชีวิตประจำวันของผู้ป่วย ที่พบบ่อยเช่น การรับประทานยาแก้ปวด การรับประทานอาหารบางชนิด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แสงอาทิตย์ ความร้อนและความเครียด

สาเหตุส่วนใหญ่ของลมพิษเฉียบพลันจะมาจากอาการแพ้ แต่สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดลมพิษ ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยจะหาสาเหตุไม่ได้ สาเหตุของลมพิษระยะเรื้อรังยังไม่เป็นที่แน่ชัด อาจเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำลายตัวเอง หรือที่เรียกว่าปฏิกิริยาแพ้ภูมิตัวเอง ซึ่งมีประมาณ 1 ใน 3 ถึงครึ่งหนึ่งของผู้ป่วย สำหรับบางรายพบว่าการเป็นลมพิษอาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางสุขภาพ เช่น โรคไทรอยด์ หรือลูปัส (Lupus) หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง ที่เรียกกันติดปากว่าโรคพุ่มพวง

การวินิจฉัยลมพิษ

แพทย์จะสอบถามประวัติอาการ และประวัติทางการแพทย์อื่น ๆ โดยละเอียด เช่น การแพ้สิ่งต่าง ๆ และทำการตรวจร่างกายเพื่อหาสาเหตุและปัจจัยที่กระตุ้นการเกิดลมพิษ ในบางรายอาจมีความจำเป็นต้องได้รับการตรวจหรือทดสอบทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด หรือตรวจหาภาวะการแพ้ต่าง ๆ

การรักษาลมพิษ

ส่วนใหญ่จะไม่สามารถระบุสาเหตุที่ทำให้เกิดลมพิษได้ชัดเจน แม้ว่าแพทย์จะได้ทำการตรวจอย่างละเอียดแล้ว ดังนั้น การรักษามักเป็นการให้ยารักษาอาการคัน เบื้องต้นแพทย์อาจให้แบบยาทาหรือประเภทสารต้านฮีสตามีน โดยสามารถใช้ยาเองได้ที่บ้าน และหากการรักษาด้วยตัวเองเบื้องต้นไม่สำเร็จ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหายาที่ได้รับตามใบสั่งแพทย์หรือยาอื่น ๆ ประกอบกัน เพื่อการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยมากที่สุด

ภาวะแทรกซ้อนของลมพิษ

ประมาณ 1 ใน 4 ของผู้ป่วยลมพิษระยะเฉียบพลันและครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยระยะเรื้อรัง มักจะมีการพัฒนาไปเป็นแองจิโออีดีมา (Angioedema) ซึ่งเป็นอาการบวมของเนื้อเยื่อในชั้นลึกของผิว สามารถทำให้เกิดปัญหาได้สำหรับบางคนและเป็นอันตรายถึงชีวิตถ้ามีผลต่อการหายใจ

ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของลมพิษ ได้แก่ หายใจได้ลำบาก เกิดภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน (Anaphylaxis) และผลกระทบทางอารมณ์ นอกจากนั้น ผู้ป่วยลมพิษมีโอกาสเพิ่มมากขึ้นที่จะพัฒนาไปสู่โรคอื่น ๆ เช่น ไทรอยด์ หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และบางอาการที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น หายใจติดขัด หรืออาการแพ้ที่รุนแรง

การป้องกันลมพิษ

สามารถบรรเทาและป้องกันลมพิษได้ด้วยตัวเอง ที่สำคัญคือ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ ที่ได้ทราบจากการวินิจฉัยโดยแพทย์ หรือการหมั่นสังเกตตัวเองและจดบันทึกอย่างสม่ำเสมอเพื่อจะได้ทราบถึงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดลมพิษ ซึ่งจะทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยถึงสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงระมัดระวังในการรับประทานยาต่าง ๆ เช่น ยาปฏิชีวนะ เพราะเป็นอีกสิ่งที่อาจไปกระตุ้นให้เกิดลมพิษได้