ความหมาย มะเร็งผิวหนัง

ความหมาย มะเร็งผิวหนัง

มะเร็งผิวหนัง (Skin Cancer) คือโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนัง เกิดขึ้นจากความผิดปกติในการเจริญเติบโตและการแบ่งเซลล์ของเซลล์ผิวหนังจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง โรคมะเร็งผิวหนังเป็นโรคที่พบในประเทศไทยได้น้อย ทั้งนี้จากสถิติล่าสุดในปี พ.ศ.2556 โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่ามีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เป็นเพศชายน้อยมาก ในขณะที่ในเพศหญิงพบเพียง 1.91% จากผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ที่เข้ารับบริการทั้งหมด 3,925 คนทั่วประเทศ ทั้งนี้มะเร็งผิวหนังแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่

มะเร็งผิวหนังประเภทที่ไม่ใช่เมลาโนมา (Non-Melanoma) แบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อย ๆ คือ

  • มะเร็งผิวหนังชนิดเบซัลเซลล์ (Basal Cell Carcinoma-BCC) เป็นมะเร็งผิวหนังที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของเบซัลเซลล์ จนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง
  • มะเร็งผิวหนังชนิดสะความัสเซลล์ (Squamous Cell Carcinoma-SCC) เกิดจากความผิดปกติของสะความัสเซลล์ ส่งผลให้เกิดการผ่าเหล่าและกลายเป็นเซลล์มะเร็ง

มะเร็งผิวหนังประเภทเมลาโนมา (Melanoma) ได้แก่

  • มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Malignant melanoma) คือมะเร็งที่เกิดจากความผิดปกติ ของเซลล์เม็ดสีเมลานิน (Melanin) บนร่างกาย เป็นมะเร็งชนิดที่รุนแรงกว่าแต่พบได้น้อยกว่าประเภทแรก

มะเร็งผิวหนังที่พบได้บ่อยที่สุดคือ มะเร็งผิวหนังชนิดเบซัลเซลล์ (BCC) ซึ่งเป็นมะเร็งที่มีความรุนแรงน้อยกว่ามะเร็งผิวหนังชนิดอื่น ๆ

มะเร็งผิวหนัง

อาการของมะเร็งผิวหนัง

โรคมะเร็งผิวหนังมีอาการที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนัง สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และสามารถเกิดได้ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณ แขน ขา มือ ใบหน้า หรือบริเวณที่ต้องถูกแสงแดดเป็นเวลานาน ๆ ทั้งนี้อาการของมะเร็งผิวหนังจะแตกต่างกันตามชนิดของมะเร็งผิวหนังดังนี้

  • มะเร็งผิวหนังชนิดเบซัลเซลล์ (Basal Cell Carcinoma-BCC) อาการที่เห็นได้ชัดคือจะมีตุ่มเนื้อสีชมพู แดง มีลักษณะผิวเรียบมันคล้ายสีมุก และจะมีเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ กระจายอยู่บริเวณตุ่มเนื้อ บางครั้งก็มีลักษณะเป็นสะเก็ดหรือเป็นขุย นอกจากนี้ตุ่มเนื้อจากมะเร็งชนิดนี้จะโตช้า และจะโตไปเรื่อย ๆ จนแผลแตกในที่สุด อาจทำให้มีเลือดออกและกลายเป็นแผลเรื้อรัง
  • มะเร็งผิวหนังชนิดสะความัสเซลล์ (Squamous Cell Carcinoma-SCC) อาการของมะเร็งชนิดนี้จะเริ่มต้นจากตุ่มเนื้อสีชมพู หรือแดง และด้านบนอาจมีลักษณะเป็นขุย หรือตกสะเก็ด เมื่อสัมผัสบริเวณแผลจะรู้สึกแข็ง เลือดออกง่าย แผลจะค่อย ๆ ขยายขนาดไปเรื่อย ๆ และกลายเป็นแผลเรื้อรังในที่สุด
  • มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Melanoma) เนื้อร้ายที่ขึ้นบนผิวหนังของมะเร็งชนิดนี้จะมีลักษณะคล้ายกับไฝหรือขี้แมลงวัน แต่จะโตเร็ว มีรูปร่างผิดปกติจากไฝหรือขี้แมลงวันธรรมดาที่มักจะมีลักษณะกลม หรือเป็นวงรี ขอบเขตไม่เรียบและอาจมีสีไม่สม่ำเสมอ ทั้งนี้ที่บริเวณแผลอาจตกสะเก็ดหรือมีอาการเลือดออกด้วยเช่นกัน

สาเหตุของมะเร็งผิวหนัง

สาเหตุของโรคมะเร็งผิวหนัง คือการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอภายในเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์ที่ผิดปกติ ส่วนสาเหตุที่ทำให้เซลล์ผิวหนังเกิดความผิดปกตินั้น ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด หรือแสงสังเคราะห์ที่นิยมใช้ในเตียงอาบแดดเป็นต้น ทั้งนี้แสงแดดไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเท่านั้น เพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้อีกด้วย อาทิ การสัมผัสกับสารพิษอันตรายเป็นเวลานาน ๆ หรือระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ โดยปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนังมีดังนี้

  • มีผิวขาวซีด เนื่องจากผิวหนังมีเม็ดสีน้อยกว่า
  • อยู่กลางแดดเป็นเวลานานจนเกินไป โดยไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกัน หรือทาครีมกันแดด
  • อาศัยอยู่ในแถบที่มีแสงแดดจัด หรืออยู่ในที่สูง
  • มีไฝหรือขี้แมลงวันมากผิดปกติ
  • ในครอบครัวมีประวัติว่าเคยเป็นมะเร็งผิวหนัง หรือผู้ป่วยเคยเป็นมะเร็งผิวหนังมาก่อน
  • มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เป็นผู้ติดเชื้อ HIV
  • ได้รับรังสีที่เป็นอันตรายติดต่อกันนาน ๆ
  • มีประวัติการถูกสารเคมี เช่น สารหนู หรือสัมผัสกับสารเคมีเป็นเวลานาน ๆ

การวินิจฉัยมะเร็งผิวหนัง

การตรวจเบื้องต้นด้วยตนเอง การวินิจฉัยโรคมะเร็งผิวหนังด้วยตัวเองสามารถทำได้ด้วยการสังเกตความผิดปกติของผิวหนัง หากมีตุ่มเนื้อที่ดูผิดปกติ หรือมีแผลเรื้อรังบริเวณผิวหนังที่มักจะโดนแดดบ่อย ๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจให้ชัดเจน

การวินิจฉัยโดยแพทย์ แพทย์จะทำการวินิจฉัยจากภายนอกด้วยการสังเกตความผิดปกติของผิวหนังอีกครั้ง หากบริเวณที่ผิดปกตินั้นมีความน่าสงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง แพทย์จะมีการนำตัวอย่างผิวหนังบริเวณที่ต้องสงสัยไปทำการตรวจด้วยวิธีทางพยาธิวิทยา ซึ่งเป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูง ทั้งนี้ หากแพทย์พบว่าตัวอย่างผิวหนังที่ตัดไปตรวจนั้นเป็นเนื้อร้าย แพทย์อาจให้เอกซเรย์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือตรวจเลือดเพิ่มเติม เพื่อวิเคราะห์ว่ามะเร็งผิวหนังที่เป็นนั้นอยู่ในระยะใด ทั้งนี้ในการแบ่งระยะของโรคมะเร็งผิวหนังจะคล้ายคลึงกับมะเร็งชนิดอื่น ๆ ซึ่งจะมีการแบ่งของระยะมะเร็งออกเป็น 4 ระยะ โดยแพทย์จะทำการวิเคราะห์ขนาดของก้อนเนื้อมะเร็ง และตรวจวินิจฉัยว่ามะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่น ๆ หรือไม่ แล้วจึงจะระบุได้ว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งในระยะใด

นอกจากระยะของมะเร็งที่กล่าวไปข้างต้น ก็ยังมีอาการทางผิวหนังบางอย่างที่หากตรวจพบแล้ว แพทย์อาจจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในระยะก่อนมะเร็ง (Precancer) และต้องทำการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาการเหล่านี้มีความเสี่ยงที่อาจพัฒนากลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้ โดยอาการทางผิวหนังที่ควรระมัดระวังมีดังนี้

  • เกิดแผลตกสะเก็ดจากการโดนแสงแดดติดต่อกันบ่อย ๆ เป็นเวลานาน รวมถึงควรสังเกตผิวบริเวณริมฝีปากโดยเฉพาะริมฝีปากล่างที่แห้ง ตกสะเก็ด
  • ตุ่มนูน ที่มีลักษณะหนาแข็ง โดยผิวหนังบริเวณฐานของตุ่มจะแดง
  • มีแผลเรื้อรังที่รักษาไม่หาย
  • มีไฝหรือขี้แมลงวันรูปร่างผิดปกติ มีขนาดใหญ่กว่าปกติ หรือมีสีที่แตกต่างจากทั่วไป

การรักษามะเร็งผิวหนัง

วิธีการรักษาโรคมะเร็งผิวหนังจะแบ่งไปตามระยะของมะเร็งที่ตรวจพบ และชนิดของมะเร็งผิวหนังที่เป็น เนื่องจากวิธีการรักษาแต่ละชนิดจะให้ผลกับการรักษามะเร็งแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน โดยวิธีรักษามะเร็งที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีดังนี้

  • การผ่าตัดที่ผิวหนัง (Surgical Excision) เป็นการผ่าตัดแบบมาตรฐานโดยจะทำการผ่าตัดก้อนเนื้อมะเร็งที่อยู่บริเวณผิวหนังและเนื้อเยื่อโดยรอบออก หากบริเวณที่ผ่าตัดออกมีขนาดใหญ่ อาจนำผิวหนังจากส่วนอื่นมาปิดบริเวณแผล โดยจะทำให้แผลหายเร็วขึ้น และจะทำให้รอยแผลเป็นน้อยลงได้
  • การขูดออกและจี้ด้วยไฟฟ้า (Curettage and Electrocautery) เหมาะกับผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังที่มีขนาดของก้อนเนื้อมะเร็งค่อนข้างเล็ก โดยแพทย์จะทำใช้อุปกรณ์พิเศษที่มีลักษณะคล้ายกับช้อนขนาดเล็กคว้านบริเวณที่เป็นเนื้อร้ายออก จากนั้นจะนำกระแสไฟฟ้ามาจี้ที่เนื้อเยื่อโดยรอบ วิธีนี้อาจต้องทำติดต่อกัน 2-3 ครั้ง จึงจะสามารถนำเนื้อร้ายออกได้หมด
  • การรักษาด้วยการจี้เย็น (Cryotherapy) วิธีนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้กับมะเร็งผิวหนังในระยะเริ่มต้น โดยจะนำไนโตรเจนเหลวมาจี้ผิวหนังบริเวณที่เป็นมะเร็ง ผิวหนังบริเวณนั้นจะตกสะเก็ด หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนสะเก็ดเหล่านั้นจะหลุดออก วิธีการรักษานี้อาจจะทำให้เกิดแผลเป็นสีขาวเล็ก ๆ หลงเหลือไว้ที่ผิวหนัง
  • การรักษาด้วยวิธี MMS (Mohs Micrographic Surgery) การรักษาวิธีนี้เป็นวิธีการการผ่าตัดที่มักใช้เมื่อมะเร็งเกิดขึ้นในบริเวณที่ไม่สามารถใช้วิธีรักษาแบบอื่นได้ หรือมะเร็งที่เกิดขึ้นมีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายสูง โดยจะค่อย ๆ ตัดเนื้อมะเร็งออกไปเป็นชั้นบาง ๆ แล้วจี้ด้วยไฟฟ้า ก่อนจะทำการปิดแผล จากนั้นจะนำชิ้นเนื้อดังกล่าวไปตรวจว่ายังมีชิ้นเชื้อมะเร็งอยู่หรือไม่ ซึ่งจะต้องทำซ้ำหลายครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าตรวจไม่พบแล้วจริง ๆ
  • เคมีบำบัด (Chemotherapy) มะเร็งที่ไม่ใช่เมลาโนมา จะใช้วิธีการรักษาด้วยเคมีบำบัดก็ต่อเมื่อพบเนื้อร้ายที่บริเวณผิวหนังชั้นบน โดยมีวิธีการ คือ ใช้ยาทาชนิดครีมที่มีส่วนผสมของยารักษาทาบริเวณที่เป็นมะเร็ง โดยวิธีนี้จะไม่ก่อให้เกิดแผลเป็น แต่จะมีผลข้างเคียงเช่นเดียวกับการใช้เคมีบำบัดแบบอื่น ๆ
  • การฉายแสงโฟโตไดนามิก (Photodynamic Therapy) เป็นการใช้แสงความเข้มสูงฉายลงไปบริเวณที่เป็นมะเร็ง โดยก่อนฉายแสงจะต้องทาตัวยาลงไปก่อน วิธีนี้เป็นการรักษาเฉพาะของมะเร็งผิวหนังชนิดเบซัลเซลล์ จะอาจก่อให้เกิดแผลเป็นและรอยไหม้บริเวณผิวหนังได้
  • การฉายรังสี (Radiotherapy) คือการใช้รังสีในปริมาณต่ำเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็ง โดยวิธีนี้จะใช้รักษามะเร็งผิวหนังในกรณีที่ขนาดของมะเร็งมีขนาดใหญ่ หรืออยู่ในบริเวณที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ บางครั้งก็ใช้กับผู้ป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

ทั้งนี้ ในการรักษาโรคมะเร็งผิวหนัง หากเป็นมะเร็งผิวหนังประเภทเมลาโนมา การรักษาจะค่อนข้างซับซ้อนกว่าประเภทที่ไม่ใช่เมลาโนมา โดยอาจต้องใช้วิธีการรักษาแบบ ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) หรือใช้โมโนโคลนอล แอนตี้บอดี้ (Monoclonal Antibodies) ซึ่งเป็นสารภูมิคุ้มกันที่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ หรืออาจใช้วิธีการรักษาด้วยการใช้ยาเพื่อเข้าไปขัดขวางการสื่อสารระหว่างเซลล์มะเร็ง (Signalling Inhibitors) ที่จะส่งผลให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตได้

ผลข้างเคียงจากมะเร็งผิวหนัง

ผลข้างเคียงที่เกิดจากมะเร็งผิวหนังสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากอาการของโรค และเกิดขึ้นในขณะทำการรักษา โดยผลข้างเคียงมีดังนี้

  • มีแผลเป็น ที่เกิดจากการผ่าตัด การเกาเนื่องจากอาการคัน หรือเป็นรอยโรค
  • ภาวะบวมน้ำเหลือง (Lymphoedema) ในรายที่ต้องผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองออก อาจมีอาการบวมน้ำเหลือง เนื่องจากการตัดต่อมน้ำเหลืองออกไปจะทำให้ระบบน้ำเหลืองเกิดความผิดปกติ
  • มีภาวะอารมณ์ผิดปกติเนื่องจากโรค ทั้งนี้อาจมีอาการของโรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวล
  • เกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ในการรักษา เช่น ผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยเคมีบำบัด เป็นต้น

วิธีป้องกันมะเร็งผิวหนัง

การป้องกันมะเร็งผิวหนังที่ดีที่สุดก็คือการป้องกันไม่ให้ผิวหนังโดนแสงแดดจัด หรือรังสียูวีเป็นเวลานาน ๆ รังสียูวีในแสงแดดก่อให้เกิดความเสี่ยงโรคมะเร็งได้ โดยวิธีการป้องกันความเสี่ยงมีดังนี้

  • สวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดทุกครั้ง หากต้องออกไปอยู่กลางแดด สวมหมวกที่มีปีกกว้างเพื่อป้องกันผิวหนังบริเวณศีรษะ ใบหน้า และคอ หรือใช้ร่มที่สามารถป้องกันรังสียูวีได้
  • ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน โดยควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป หากมีผิวขาว ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปจึงจะเหมาะสม และควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดดอย่างน้อย 20-30 นาที อีกทั้งยังควรทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงสังเคราะห์ เช่น แสงจากเตียงอาบแดด เพราะแสงจากอุปกรณ์เหล่านี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนังได้เช่นกัน
  • ไม่ควรสูบบุหรี่ หรือสัมผัสควันบุหรี่