ความหมาย บ้านหมุน

ความหมาย บ้านหมุน

อาการบ้านหมุน (Vertigo) เป็นอาการเวียนศีรษะหรือมึนศีรษะ มีความรู้สึกเหมือนสิ่งแวดล้อมรอบตัวหมุนได้ แม้ว่าจะยืนหรือนั่งอยู่กับที่ ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้เป็นปกติ อาจส่งผลกระทบร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการทรงตัว และเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมร่างกายตนเองได้ โรคบ้านหมุนสามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ และเป็นอาการที่ไม่รุนแรง เป็น ๆ หาย ๆ คนส่วนใหญ่จึงชะล่าใจไม่รีบรักษาให้หายขาด

บ้านหมุนอาการบ้านหมุน

อาการบ้านหมุนเป็นผลมาจากความผิดปกติของอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการทรงตัวและรักษาสมดุลของร่างกายในท่าทางต่าง ๆ เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้น จึงทำให้ระบบการทรงตัวเสียไปชั่วขณะ

ผู้ป่วยจะรู้สึกถึงสภาพแวดล้อมรอบตัวหมุน หรือตัวเองหมุน ทั้งที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ มีอาการวิงเวียนศีรษะ เดินเซ ล้ม หรือทรงตัวไม่ได้ รวมไปถึงรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของลูกตา ตากระตุก และอาการเกี่ยวกับการได้ยินเสียง เช่น หูอื้อ เสียงดังรบกวนในหู   

ทั้งนี้อาการของโรคอาจขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเป็นหลัก และมักมีอาการเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ไม่กี่ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น หรือบางครั้งมีอาการเป็นพัก ๆ แล้วหายไป ดังนั้นหากเกิดอาการเหล่านี้ขึ้นควรรีบไปพบแพทย์แต่เนิ่น ๆ เพราะอาการเวียนศีรษะอาจเกิดจากหลายสาเหตุ  

สาเหตุของอาการบ้านหมุน

บ้านหมุนเป็นอาการที่ผู้ป่วยมีความรู้สึกว่าวัตถุหรือสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มีการเคลื่อนไหว หรือหมุนไปรอบ ๆ ตัว ทั้งที่จริงแล้วไม่มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น แต่เกิดจากความผิดปกติในการรับรู้ของร่างกายคนเรา ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน

  • ความผิดปกติของอวัยวะการรับรู้ในหูชั้นในจากโรคต่าง ๆ พบว่าเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของอาการเวียนศีรษะ เช่น โรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในหลุด หรือ โรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน (Benign Paroxysmal Positional Vertigo: BPPV) โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s Disease) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของน้ำและแรงดันที่อยู่ภายในหูชั้นใน ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ หูอื้อ และการได้ยินลดลง โรคประสาทการทรงตัวอักเสบ (Vestibular Neuronitis) หรือประสาทหูชั้นในอักเสบ (Labyrinthitis) เป็นภาวะของประสาทหูชั้นในอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งการอักเสบของหูชั้นรอบ ๆ เส้นประสาทนี้จะส่งผลต่อระบบการทรงตัวของร่างกาย
  • สาเหตุอื่นของอาการเวียนศีรษะที่พบได้ไม่บ่อย เช่น ยาบางชนิดที่มีผลต่อระบบประสาททรงตัวในหูชั้นใน การบาดเจ็บที่ศีรษะและบริเวณคอ โรคไมเกรน หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับสมอง  

การวินิจฉัยอาการบ้านหมุน

การวินิจฉัยต้องทำอย่างระมัดระวัง เนื่องจากอาการวิงเวียนศีรษะมีความซับซ้อน โดยแพทย์จะซักประวัติผู้ป่วย สอบถามอาการ ตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยมีการตรวจหู ตรวจการเคลื่อนไหวของลูกตาในลักษณะต่าง ๆ ตรวจระบบการทรงตัวของร่างกาย หรือทดสอบการทำงานของอวัยวะการทรงตัวด้วยการเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้แพทย์อาจตรวจด้านอื่นเพิ่มเติมตามอาการของผู้ป่วยแต่ละรายดังนี้

  • ตรวจการได้ยิน สำหรับผู้ที่มีอาการหูอื้อ มีเสียงดังในหู หรือมีปัญหาการได้ยิน โดยผู้ชำนาญเฉพาะทาง เพื่อวัดความสามารถของการได้ยินเสียง ซึ่งวิธีการตรวจมีหลายแบบ เช่น การวัดการได้ยินด้วยเครื่องทดสอบการได้ยิน (Audiometry Test) หรือการใช้ส้อมเสียง (Tuning Fork)
  • ตรวจการทำงานของอวัยวะทรงตัวของหูชั้นใน (Videonystagmography: VNG) เป็นการทดสอบเพื่อดูความผิดปกติของหูชั้นในและสมองส่วนกลางของผู้ป่วยด้วยการดูการกระตุกของลูกตาผ่านทางแว่นตา ในระหว่างการทดสอบนี้ ผู้ป่วยจะสวมใส่แว่นตาแบบพิเศษที่ติดกล้องเอาไว้ แพทย์จะทดสอบโดยการให้ผู้ป่วยกลอกตาไปมาหรือมองไปในทิศทางต่าง ๆ เพื่อบันทึกการเคลื่อนไหวของตา
  • ตรวจการทรงตัว (Posturography) เป็นการตรวจการทรงตัวของร่างกายในภาวะต่าง ๆ เพื่อประเมินการทำงานร่วมกันของการมองเห็น การได้ยิน และการรับรู้ตำแหน่งของร่างกายซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการทรงตัว
  • ตรวจดูการทำงานเชื่อมต่อกันระหว่างหู ตา และสมอง (Caloric Testing) โดยใช้น้ำอุ่น น้ำเย็น หรือลมเข้าไปกระตุ้นการทำงานของอวัยวะการทรงตัวในหู
  • การตรวจสมอง เพื่อหาสาเหตุของอาการบ้านหมุนด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น  การตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Imaging) เพื่อช่วยค้นหาเนื้องอก ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการเวียนศีรษะ หรือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)

การรักษาอาการบ้านหมุน

วิธีการรักษาอาการบ้านหมุนนั้นแตกต่างกันออกไปตามสาเหตุที่เกิด ในผู้ป่วยบางรายจะมีอาการทุเลาลงโดยไม่ต้องเข้ารับการรักษา แต่ในบางรายที่มีอาการเรื้อรังหลายเดือนหรือเป็นปี แพทย์จะพิจารณาการรักษาให้เหมาะกับรายบุคคลด้วยวิธีต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • การรักษาด้วยยา เพื่อช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้  วิงเวียน รู้สึกโคลงเคลงจากการเคลื่อนไหวศีรษะ เช่น ยาไดเมนฮัยดริเนต (Dimenhydrinate) ยาซินนาริซีน (Cinnarizine) หรือยาเบตาฮีสทีน (Betahistine)   
  • การทำกายภาพบำบัด (Canalith Repositioning Maneuvers) ด้วยการขยับศีรษะและคอช้า ๆ เพื่อช่วยเคลื่อนตะกอนหินปูนเคลื่อนกลับเข้าที่เดิม วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัย และได้ผลดี เหมาะสำหรับโรคที่พบบ่อยอย่างโรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในหลุด (Benign Paroxysmal Positional Vertigo: BPPV)
  • การฟื้นฟูระบบการทรงตัว (Vestibular Rehabilitation) เป็นวิธีการทำกายภาพด้วยท่าทางการบริหารร่างกายหลากหลายรูปแบบที่เป็นระบบ เพื่อฟื้นฟูประสาทส่วนที่มีหน้าที่ในการควบคุมการทรงตัว เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการบ้านหมุนเป็นช่วงสั้น ๆ  เพื่อบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะให้ดีขึ้น
  • การผ่าตัด เป็นวิธีที่ใช้ในกรณีที่การรักษาด้วยยาและทำกายภาพไม่ได้ผลดี ผู้ป่วยยังคงมีอาการรุนแรงมากขึ้น หรือมีปัญหาจากสาเหตุอื่น เช่น เนื้องอก การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะหรือคอ เป็นต้น ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการเวียนศีรษะให้ดีขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนของอาการบ้านหมุน

โดยทั่วไปอาการบ้านหมุนแทบไม่พบภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แต่มักจะเสี่ยงต่อการลื่นล้มมากที่สุด โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เนื่องจากไม่สามารถควบคุมการทรงตัวของตนเองได้ จึงอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บที่ร้ายแรงตามมาจากการหกล้มหรืออุบัติเหตุ เช่น กระดูกสะโพกหัก อุบัติเหตุจากการขับรถหรือทำงานในสภาวะอันตราย อีกทั้งยังรบกวนการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้   

คำแนะนำเมื่อเกิดอาการบ้านหมุน

บ่อยครั้งที่อาการวิงเวียนศีรษะอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ตัวผู้ป่วย เมื่อเริ่มมีอาการวิงเวียนศีรษะ ควรนั่งพักหรือนอนบนพื้นราบโดยให้ศีรษะยกขึ้นสูงเล็กน้อย หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น ปีนเขา ดำน้ำ ขับรถ ทำงานเกี่ยวข้องกับเครื่องจักรกล ทำงานในที่สูง ฯลฯ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย ในบางรายที่มีปัญหาในการทรงตัว ควรใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงในการเดิน จะช่วยลดความเสี่ยงในการลื่นล้มหรือเกิดอุบัติเหตุ

หากผู้ป่วยที่มีอาการเวียนศีรษะมีสาเหตุจากโรคตะกอนหินปูนในหูชั้นในหลุด (Benign Paroxysmal Positional Vertigo: BPPV) ไม่ควรเคลื่อนไหวศีรษะในลักษณะที่ผิดไปจากตำแหน่งปกติมากเกินไป เช่น การเอื้อมหยิบของที่สูงหรือก้มต่ำ เพื่อลดการเคลื่อนไหวของตะกอนหินปูนที่ผิดปกติในหูชั้นใน  

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น อาเจียนบ่อยจนไม่สามารถรับประทานอาหารได้ มีปัญหาการได้ยินร่วมกับอาการเวียนศีรษะ หรือเดินเซ ไม่สามารถควบคุมการทรงตัวได้ ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องตรงตามสาเหตุ

การป้องกันอาการบ้านหมุน

การดูแลตนเองให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน มีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิดโรคได้

  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม ซึ่งมีสารที่อาจทำให้เลือดไปเลี้ยงหูชั้นในได้น้อยลง    
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างปกติ
  • เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ไม่รีบร้อนหรือทำอะไรที่รวดเร็วเกินไป
  • ระวังการลื่นล้ม หรือเกิดอุบัติเหตุรุนแรงกับศีรษะและสมอง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะที่ควบคุมระบบการทรงตัวภายในหูชั้นใน
  • ไม่ควรรับประทานอาหารที่เค็มมากเกินไป เนื่องจากความเค็มอาจส่งผลให้มีน้ำคั่งในร่างกาย และในหูชั้นในมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนได้