ครรภ์เป็นพิษ อาการ สาเหตุ การรักษาโรคครรภ์เป็นพิษ 7 วิธี

ครรภ์เป็นพิษ

ครรภ์เป็นพิษ หรือ โรคพิษแห่งครรภ์ (Toxemia of pregnancy) คือ ภาวะผิดปกติที่พบได้ในหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งมักจะมีอาการเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ประมาณ 5-6 เดือน หรือมากกว่า 20 สัปดาห์ขึ้นไป จนกระทั่งถึงหลังการคลอดอีกประมาณ 1 สัปดาห์ แต่ระยะที่พบได้บ่อยมักจะเป็นในช่วงเดือนที่ 8 หรือสัปดาห์ที่ 34-35 ขึ้นไปครับ ซึ่งจะมีอาการหลัก ๆ 3 อาการร่วมกัน ได้แก่ อาการบวม ความดันโลหิตสูง และตรวจพบสารไข่ขาวในปัสสาวะ ซึ่งถ้ามีอาการ 2 ใน 3 อย่างก็ถือว่าเป็นโรคนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องครบทั้ง 3 อย่าง (บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะ มึน ตามัว และอาเจียนร่วมด้วย)

ภาวะครรภ์เป็นพิษ ถือเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญและพบได้บ่อย ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 3-5 ของผู้หญิงตั้งครรภ์ทั้งหมด ในประเทศที่เจริญแล้ว โรคนี้เป็นสาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้คุณแม่เสียชีวิต แต่ก็พบได้น้อยมากครับ ส่วนในบ้านเรานั้นเป็นอันดับ 3 คือ พบได้ไม่บ่อยมากนักและพบได้บ้างตามต่างจังหวัด สาเหตุคงเป็นเพราะคุณแม่บางส่วนยังไม่ค่อยตระหนักถึงความสำคัญของการฝากครรภ์ รวมทั้งการขาดแคลนบุคลากรและเครื่องมือทางการแพทย์ ส่วนสาเหตุหลัก ๆ ของการเสียชีวิตจะมาจากการตกเลือดและการอักเสบเสียมากกว่าครับ และเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างมากที่โรคนี้ยังไม่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นและได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็จะช่วยลดความรุนแรงของโรคและอันตรายที่เกิดกับแม่และลูกลงได้ครับ ถ้าตรวจพบตั้งแต่เริ่มเป็นและได้รับการรักษาพร้อมกับคำแนะนำในการปฏิบัติตัว การตั้งครรภ์ก็ยังสามารถดำเนินไปได้อย่างเป็นปกติ และหลังจากคลอดแล้วโรคนี้ก็จะค่อย ๆ หายไปเองภายในเวลาอันรวดเร็ว

ในปัจจุบันนี้ในทางการแพทย์จะไม่ใช้คำว่า “ครรภ์เป็นพิษ” กันแล้วครับ แต่มักจะใช้คำว่า “ความดันโลหิตสูงในสตรีตั้งครรภ์” หรือ “ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์” (Hypertensive disorders of pregnancy หรือ Pregnancy Induced Hypertensive) กันเสียมากกว่า แต่สำหรับประชาชนทั่วไปการอธิบายด้วยการใช้คำว่า “ครรภ์เป็นพิษ” จะดูเข้าใจง่ายกว่าครับ

โดยภาวะครรภ์เป็นพิษนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น โรคพิษแห่งครรภ์ระยะก่อนชัก (Pre-eclampsia – พรีอีแคลมป์เชีย) ซึ่งผู้ป่วยจะมีเพียงอาการบวม ความดันโลหิตสูง และมีสารไข่ขาวในปัสสาวะ และโรคพิษแห่งครรภ์ระยะชัก (Eclampsia – อีแคลมป์เชีย) ที่ผู้ป่วยจะมีอาการชักหรือหมดสติ อาจเป็นอันตรายจนเสียชีวิตได้ ซึ่งผู้ป่วยจะมีโอกาสเป็นโรคพิษแห่งครรภ์ระยะชักได้ประมาณร้อยละ 5 ของผู้ที่เป็นโรคครรภ์แห่งพิษระยะก่อนชัก

มาถึงตรงนี้คุณแม่หลาย ๆ ท่านอาจสงสัยว่า อาการบวมแค่ไหนถึงจะเรียกว่าผิดปกติ ? ก็ขออธิบายตามนี้ครับว่า ถ้าคุณแม่มีอาการบวมบริเวณหลังเท้าไม่มากนักก็ถือว่ายังปกติครับ ซึ่งอาการบวมลักษณะนี้มักจะเกิดจากอาการเดินหรือยืนเป็นเวลานาน ๆ แต่ถ้าคุณแม่มีอาการบวมขึ้นมาเหนือตาตุ่ม โดยเฉพาะตั้งแต่หน้าแข้งขึ้นมาแบบนี้ก็ต้องระวังกันแล้วล่ะครับ และถ้ามีอาการบวมที่มือหรือตามใบหน้าด้วยแล้วก็จะถือว่าผิดปกติมาก คุณแม่ควรรีบไปพบแพทย์ก่อนการนัดหมายในทันที เพื่อตรวจดูว่ามีความดันโลหิตสูงหรือสารไข่ขาวในปัสสาวะหรือไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าคุณแม่มีอาการนิ้วมือบวม หน้าบวม หรือบวมทั้งตัว และเกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะหรือตาพร่ามัวในระยะ 2-3 เดือนใกล้คลอด จะเป็นอาการของโรคแทรกซ้อนเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ที่เรียกว่า “ครรภ์เป็นพิษ” แต่ในปัจจุบันทางการแพทย์จะไม่นับอาการบวมเป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคครรภ์เป็นพิษแล้วครับ เพราะคุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่มักจะมีอาการบวมอยู่แล้ว เว้นแต่ในกรณีที่พบว่ามีอาการบวมมาก ก็นับเป็นสัญญาณอันตรายเตือนให้ระวังว่ามีความดันโลหิตสูงและสารไข่ขาวในปัสสาวะออกมา

ในส่วนของความดันโลหิตก็ถือเป็นอีกภาวะแทรกซ้อนสำคัญและพบได้บ่อยในสตรีตั้งครรภ์ ซึ่งสามารถวินิจฉัยได้โดยการวัดความดันโลหิตช่วงบน หรือค่าแรกวัดได้ ≥ 140 มม.ปรอท และช่วงล่างหรือค่าหลังวัดได้ ≥ 90 มม.ปรอท นอกจากความดันโลหิตสูงแล้วจะพบสารไข่ขาวในปัสสาวะด้วย

สำหรับสารไข่ขาวในปัสสาวะที่พูดถึงนี้ก็คือ โปรตีนอัลบูมิน (Albumin) ที่เป็นสารประเภทเดียวกับไข่ขาว ตามปกติแล้วในคนปกติจะไม่พบสารนี้ในปัสสาวะ ยกเว้นในผู้ป่วยที่เป็นโรคไตบางชนิดเท่านั้น สำหรับหญิงตั้งครรภ์ถ้าตรวจพบสารนี้ในปัสสาวะมากกว่า 300 มิลลิกรัมในปัสสาวะที่เกิน 24 ชั่วโมง หรือถ้าตรวจปัสสาวะโดยใช้แถบตรวจจุ่มดูแล้วพบว่าโปรตีนเท่ากับ 1+ หรือมากกว่าก็แสดงว่ามีความผิดปกติแล้วครับ

สาเหตุครรภ์เป็นพิษ

ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคครรภ์เป็นพิษที่แน่ชัด คือ ยังไม่รู้เกิดจากอะไรกันแน่หรือมีพิษอะไรเกิดขึ้น แต่เชื่อว่าอาจเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันหรือฮอร์โมนต่อมไร้ท่อบางตัวหรือเกิดจากกรรมพันธุ์ เนื่องจากอาการต่าง ๆ ของภาวะครรภ์เป็นพิษจะหายไปในเกือบจะทันทีเมื่อทารกและรกคลอดออกมา ซึ่งสันนิษฐานว่า เกิดจากความไม่สมดุลกันระหว่างโปรตีนบางตัวที่ถูกสร้างขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์และทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือด ร่างกายจึงไม่สามารถสร้างหลอดเลือดไปเลี้ยงรกได้เพียงพอ บางส่วนของรกจึงเกิดการขาดเลือดไปเลี้ยง ทำให้เนื้อเยื่อรกบางส่วนตายไป และมีการปล่อยสารที่ส่งผลให้เลือดทั่วร่างกายของสตรีตั้งครรภ์หดตัว

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดครรภ์เป็นพิษ

สิ่งที่ตรวจพบของครรภ์เป็นพิษ

อาการครรภ์เป็นพิษ

อาการครรภ์เป็นพิษ

คำแนะนำ : คุณแม่สามารถสังเกตตัวเองได้ว่า มีอาการบวมมากหรือมีอาการผิดปกติหรือไม่ด้วยวิธีการง่าย ๆ เช่น รู้สึกว่ารองเท้าที่เคยใส่สบาย ๆ เป็นประจำในระยะตั้งครรภ์กลับคับมากขึ้นผิดปกติ, แหวนที่ใส่อยู่ไม่สามารถถอดออกได้หรือถ้าไม่ได้ใส่แหวนอยู่เป็นประจำ พอกลับมาใส่อีกก็ใส่ไม่ได้แล้ว, เมื่อชั่งน้ำหนักแล้วพบว่าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 1 กิโลกรัม ก็ขอให้ระวังว่าอาจจะเป็นอาการเริ่มต้นของการเกิดโรคครรภ์เป็นพิษก็ได้ เพราะโดยปกติแล้วน้ำหนักตัวของคุณแม่ควรเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละครึ่งกิโลฯ, มีอาการปวดศีรษะมาก ตาพร่ามัว แน่นหน้าอก หรือแน่นบริเวณลิ้นปี่ร่วมด้วย ก็ให้รีบไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด เพราะเป็นอาการที่บ่งบอกว่าเข้าขั้นอันตรายแล้ว และคุณแม่อาจจะชักหรือหมดสติได้

ระดับความรุนแรงของครรภ์เป็นพิษ

  1. ครรภ์เป็นพิษที่ไม่รุนแรง (Mild pre-eclampsia) ผู้ป่วยจะมีความดันโลหิตขึ้นสูงกว่า 140/90 มม.ปรอท แต่ไม่เกิน 160/110 มม.ปรอท มีอาการบวมปานกลาง และตรวจพบสารไข่ขาวในปัสสาวะปริมาณไม่มาก (มีโปรตีนในปัสสาวะน้อยกว่า 2 กรัมต่อวัน หรือ 1-2 บวก ในปัสสาวะที่เก็บ 24 ชั่วโมง) ไม่มีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น เกล็ดเลือดต่ำ ไตวาย และทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า
  2. ครรภ์เป็นพิษที่รุนแรงมาก (Severe pre-eclampsia) ผู้ป่วยจะมีความดันโลหิตขึ้นสูงกว่า 160/110 มม.ปรอท มีอาการบวมที่รุนแรง และตรวจพบสารไข่ขาวในปัสสาวะปริมาณมาก (เกิน 2 กรัมต่อวัน หรือ 3-4 บวก ในปัสสาวะที่เก็บ 24 ชั่วโมง), มีอาการปวดศีรษะมาก, ตาพร่ามัว, เกล็ดเลือดต่ำ (ต่ำกว่า 100,000 ต่อ มม.), มีภาวะเม็ดเลือดแตก, มีอาการจุกเสียดแน่นบริเวณหนาอก บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นมีน้ำคั่งอยู่ในปอดหรือมีเลือดออกในสมอง, มีเอนไซม์ที่ตับสูง, มีพยาธิที่ตับ เซลล์ตับถูกทำลาย, ไตวาย, มีพยาธิสภาพที่หลอดเลือดและหัวใจ, มีแนวโน้มจะเกิดภาวะ Eclampsia และ HELLP syndrome ได้ในระยะต่อมา และทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า
  3. ครรภ์เป็นพิษที่เกิดอาการชัก (Eclampsia) เป็นระยะที่รุนแรงที่สุดและมักเกิดตามหลังครรภ์เป็นพิษรุนแรงที่ผู้ป่วยไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธีและทันท่วงที ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการชัก เกร็ง หรือหมดสติ ทั้งนี้อาการชักจะต้องไม่มีสาเหตุมาจากภาวะอื่น ๆ เช่น ลมบ้าหมู โรคทางสมอง ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก ๆ อาจมีเลือดออกในสมองร่วมด้วย ภาวะครรภ์เป็นพิษระยะนี้มีความรุนแรงมาก หากเกิดขึ้นแล้วอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้

วิธีรักษาครรภ์เป็นพิษ

1) หากคุณแม่มีอาการดังกล่าวควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจเลือดและปัสสาวะ ในรายที่เป็นไม่มากก็ไม่จำเป็นต้องนอนพักที่โรงพยาบาล แต่ต้องมีการติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าครรภ์เป็นพิษไม่รุนแรง (Mild pre-eclampsia) และมีโปรตีนในปัสสาวะ แพทย์มักจะให้นอนโรงพยาบาล แล้วจะทำการรักษาด้วยการควบคุมอาหาร ให้นอนพักในท่านอนตะแคงซ้าย นับเด็กดิ้น ทำ Non stress test และทำอัลตราซาวนด์เพื่อประเมินการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ หรืออาจทำการเจาะน้ำคร่ำเพื่อประเมินความสมบูรณ์ของปอดทารก ฯลฯ ถ้าพบว่าคุณแม่มีอาการดีขึ้น ไม่พบโปรตีนในปัสสาวะ ความดันโลหิตลดลง และไม่พบว่ามีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ แพทย์จะให้กลับบ้านได้ โดยแพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลตัวเอง ดังนี้

หลังจากให้คำแนะนำดังกล่าวแล้ว แพทย์จะนัดมาตรวจอีกสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือทุก ๆ 2 วัน เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและตรวจสุขภาพของทารกในครรภ์ หรืออาจส่งพยาบาลไปเยี่ยมที่บ้านเพื่อช่วยประเมินอาการทุกวัน แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น หรือมีความดันช่วงบน ≥ 140 มม.ปรอท หรือช่วงล่าง ≥ 90 มม.ปรอท หรือมีปัญหาที่ไม่สามารถติดตามผู้ป่วยได้อย่างใกล้ชิด แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาที่โรงพยาบาล เพื่อสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและให้ผู้ป่วยได้นอนพักอย่างเต็มที่ พร้อมกับตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจดูสารไข่ขาวในปัสสาวะ ตรวจรีเฟล็กซ์ของข้อ ฟังเสียงหัวใจทารกบ่อย ๆ และตรวจเลือดทุก ๆ 1-2 วัน เพื่อดูจำนวนเกล็ดเลือด อิเล็กโทรไลต์ บียูเอ็น ครีอะตินีน และเอนไซม์ตับ (แม้ว่าคุณแม่จะรู้สึกว่าตัวเองสบายดีและไม่อยากอยู่ในโรงพยาบาลก็ตาม แต่เพื่อความปลอดภัยก็ควรจะอยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาลจะดีกว่านะครับ) เมื่ออาการบวมน้อยลงก็สามารถกลับบ้านได้ และคุณหมอจะนัดมาตรวจติดตามต่อไป

2) ในกรณีที่คุณแม่เป็นโรคครรภ์เป็นพิษที่ไม่รุนแรงและอายุครรภ์ครบกำหนดแล้ว (37 สัปดาห์ขึ้นไป) แพทย์จะให้ทำคลอดเพื่อหยุดกระบวนการของโรค โดยพิจารณาตามความเหมาะสมของปากมดลูกและขนาดของทารก รวมถึงความต้องการของคุณแม่ หากทารกมีขนาดไม่ใหญ่มากนักและอยู่ในท่าที่เหมาะสม ปากมดลูกก็อยู่สภาวะที่สามารถกระตุ้นได้ แพทย์จะให้ยากระตุ้นให้ปากมดลูกเปิดและเกิดการเจ็บครรภ์เพื่อให้คลอดเองตามธรรมชาติ แต่หากสภาวะต่าง ๆ ไม่เหมาะสมก็อาจจำเป็นต้องใช้วิธีผ่าตัดทำคลอด

3) ในกรณีที่พบว่ามีอาการรุนแรง (Severe pre-eclampsia) หรือมีความดันช่วงบนและล่างวัดได้ ≥ 160/110 มม.ปรอท ในการรักษา แพทย์จะให้นอนพักในท่านอนตะแคงตลอดเวลา ควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด และดูแลให้ได้รับยาต้านการชัก ได้แก่

หลังจากนั้นแพทย์จะพิจารณาการทำคลอด หรือการเร่งคลอดเพื่อหยุดกระบวนการของโรคด้วย ซึ่งมักทำในรายที่เป็น Pre-eclampsia ที่รุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก ถ้ากระตุ้นให้เจ็บครรภ์ล้มเหลว แพทย์อาจตัดสินใจให้ผ่าตัดคลอดทารกออกทางหน้าท้อง ดังนี้

ภายหลังการคลอด อาการต่าง ๆ ของครรภ์เป็นพิษจะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีโอกาสชักได้อยู่ในระยะ 24 ชั่วโมงหลังคลอด หากความดันโลหิตสูงควรระวังภาวะชัก ส่วนสารไข่ขาวในปัสสาวะและอาการบวมจะหายไปภายใน 1 สัปดาห์ และความดันโลหิตจะกลับมาเป็นปกติภายใน 2 สัปดาห์

4) ในรายที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษรุนแรง (Eclampsia) โดยปกติถ้าหญิงตั้งครรภ์ได้รับแมกนีเซียมซัลเฟตตั้งแต่เริ่มแรกมักไม่ค่อยเกิดอาการชัก อย่างไรก็ตาม ถ้าพบว่ามีอาการชักแพทย์จะให้ฉีดยาแมกนีเซียมซัลเฟต 4-6 กรัม เข้าเส้นเลือดดำช้า ๆ อย่างน้อย 5 นาที ถ้ายังไม่ได้ผลแพทย์จะฉีดไดอะซีแพม 5-10 มิลลิกรัม เข้าทางหลอดเลือดดำ หรืออาจให้ยาอื่น ๆ แทน เช่น Phenobarbital, Dilantin ในระหว่างการชัก ถ้าชักในระยะที่ทารกอยู่ในครรภ์จะทำให้หัวใจของทารกเต้นช้าลง แพทย์จะสังเกตการเต้นของหัวใจทารกทุก 15 นาที ให้ออกซิเจน 8-12 ลิตรต่อนาที และตรวจภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด สังเกตการเกิดภาวะปอดบวมน้ำ ภาวะไตวาย ตลอดจนอาการแสดงของเลือดออกในสมอง และจะรีบทำการคลอดภายหลังควบคุมภาวะชักได้ดีแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง หลังการคลอดยังมีความจำเป็นต้องได้รับยากันชักอยู่ต่อไปจนครบ 24 ชั่วโมง หากมีความดันโลหิตสูงเกิน 160/110 มม.ปรอท อาจจำเป็นต้องได้รับยาลดความดันโลหิตด้วย และอาจจำเป็นต้องวัดความดันโลหิตเป็นระยะ ๆ ทุก ๆ 1-2 วัน อย่างน้อยประมาณ 2 สัปดาห์ ต่อจากนั้นอาจวัดความดันทุก 1 สัปดาห์ ต่อไปอีกอย่างน้อยประมาณ 6-12 สัปดาห์หลังคลอด หรือจนกว่าจะหยุดยาลดความดันโลหิตหรือตามที่แพทย์แนะนำ ซึ่งในระหว่างนี้คุณแม่สามารถให้นมลูกได้ตามปกติ เพราะยากันชักจะไม่มีผลต่อทารก (ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์)

โดยทั่วไปแล้วอาการต่าง ๆ จะค่อย ๆ ดีขึ้นหลังการคลอด แต่หากเกิน 12 สัปดาห์ไปแล้วยังคงมีความดันโลหิตสูงอยู่ สันนิษฐานว่า คุณแม่อาจเป็นโรคความดันโลหิตสูงชนิดเรื้อรังก็เป็นได้ คุณแม่ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาอย่างต่อเนื่องตามนัดต่อไป

วิธีป้องกันครรภ์เป็นพิษ

ในปัจจุบันแม้จะยังไม่มีวิธีใดที่สามารถป้องกันภาวะครรภ์เป็นพิษได้ 100% แต่เมื่อคุณแม่เริ่มตั้งครรภ์ก็สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดได้ด้วยวิธีการเหล่านี้

  1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพยายามยกขาสูงเมื่อมีโอกาส เช่น ในขณะนั่งหรือนอน
  3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น หรือเท่ากับ 8 แก้วต่อวัน
  4. ลดการรับประทานอาหารที่มีรสจัด (โดยเฉพาะรสเค็มจัด) หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารผัดด้วยน้ำมันหรืออาหารทอด เพิ่มอาหารที่มีโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ตับ นม ไข่
  5. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง
  6. เสริมอาหารที่มีแคลเซียม แคลเซียมสามารถช่วยป้องกันความดันโลหิตสูงและอาการแทรกซ้อนจากภาวะครรภ์เป็นพิษได้ เพราะการได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (โดยปกติแล้วร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์จะสูญเสียแคลเซียมวันละ 250 มิลลิกรัมไปในช่วงที่มีอายุครรภ์ 6-7 เดือน) รวมทั้งยังช่วยป้องกันการคลอดก่อนกำหนดในผู้หญิงที่มีประวัติหรือมีความเสี่ยงสูงในเรื่องของโรคความดันโลหิต ดังนั้นคุณแม่ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมให้เพียงพอในแต่ละวัน
  7. ฝากครรภ์ในทันทีเมื่อเริ่มรู้ตัวว่ากำลังตั้งครรภ์ พร้อมกับปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อช่วยลดโอกาสการเกิดหรือลดความรุนแรงของภาวะครรภ์เป็นพิษให้น้อยลง

คำแนะนำเรื่องครรภ์เป็นพิษ

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “ครรภ์เป็นพิษ/โรคพิษแห่งครรภ์ (Toxemia of pregnancy)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 902-903.
  2. หนังสือคู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด.  “ครรภ์เป็นพิษ (toxemia of pregnancy)”.  (ศ. (คลินิก) นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ).  หน้า 185-188.
  3. หนังสือ 40 สัปดาห์ พัฒนาครรภ์คุณภาพ.  “ภาวะครรภ์เป็นพิษ”.  (รศ.พญ.สายฝน – นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์).  หน้า 164-165.
  4. เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการพยาบาลมารดา ทารกและการผดุงครรภ์ 2.  “การพยาบาลสตรีที่มีภาวะแทรกซ้อนเนื่องจากการตั้งครรภ์ (Hyperemesis gravidarum, PIH)”.  (อ.อรพนิต ภูวงษ์ไกร).

ภาพประกอบ : americanpregnancy.org

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 ครรภ์เป็นพิษ
  • 2 สาเหตุครรภ์เป็นพิษ
  • 3 อาการครรภ์เป็นพิษ
  • 4 วิธีรักษาครรภ์เป็นพิษ
  • 5 วิธีป้องกันครรภ์เป็นพิษ
  • 6 คำแนะนำเรื่องครรภ์เป็นพิษ
  • 7 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ