การออกกำลังกายในหญิงตั้งครรภ์ ท่าออกกําลังกายคนท้อง )

การออกกำลังกายสำหรับคนท้อง

เรามักจะสังเกตเห็นว่าในสวนสาธารณะหรือในสนามกีฬามักไม่ค่อยพบเห็นคุณแม่ตั้งครรภ์มาออกกำลังกาย เพราะคุณแม่บางคนอาจจะยังไม่แน่ใจว่าการออกกำลังกายในขณะตั้งครรภ์นั้นดีหรือเป็นอันตรายหรือไม่ อย่างไร ? เพราะในขณะที่ตั้งครรภ์ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายอย่างและมีความเกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย คือ ระบบการไหลเวียนของเลือด ชีพจรเต้นเร็วขึ้น หัวใจเต้นแรงขึ้น เพราะต้องสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงมดลูกและตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเพิ่มขึ้น เส้นเอ็นต่าง ๆ นุ่มขึ้น ข้อต่อกระดูกหลวมขึ้น รวมทั้งจุดศูนย์ถ่วงของร่างกายเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากมดลูกที่โตขึ้น จึงทำให้กล้ามเนื้อบางส่วนต้องทำงานหนัก เป็นต้น

การออกกำลังกายจะช่วยทำให้ชีพจรซึ่งเต้นเร็วอยู่แล้วในขณะตั้งครรภ์ยิ่งเต้นเร็วขึ้น โดยเฉพาะที่ผู้มีความดันโลหิตสูงหรือเป็นโรคหัวใจอยู่แล้วอาจเกิดอันตรายได้ และข้อต่อที่หลวม จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายที่เปลี่ยนไป จะทำให้การทรงตัวไม่ปกติ คุณแม่อาจหกล้มหรือเกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนี้การออกกำลังกายยังทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นเล็กน้อย การเสียเหงื่อจะทำให้เกิดการขาดน้ำ รวมทั้งมีการกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมนออกมามากขึ้น ซึ่งอาจมีผลทำให้เกิดการบีบรัดตัวของมดลูก ซึ่งเหล่านี้คืออันตรายของการออกกำลังกายขณะตั้งครรภ์ที่ทำให้คุณแม่บางคนกลัวว่าจะได้รับอันตรายดังกล่าว แต่สำหรับคุณแม่ทั่วไปที่มีสุขภาพปกติทั่วไป ไม่มีโรคแทรกซ้อนใด ๆ ยังสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติและยังเป็นประโยชน์ต่อแม่และลูกอย่างมากอีกด้วยครับ

ประโยชน์ของการออกกำลังกายของคนท้อง

  1. การออกกำลังกายที่ไม่หักโหมมากนักจะทำให้คุณแม่รู้สึกปลอดโปร่ง สดชื่นสบายตัว มีท่าทางกระฉับกระเฉง เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยลดอาการปวดเมื่อยที่หลัง และลดอาการเป็นตะคริวได้
  2. ช่วยให้คุณแม่นอนหลับสบายและผ่อนคลายความตึงเครียดจากการทำงาน รวมถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการคลอด
  3. คุณแม่จะมีเรี่ยวแรงและพลังในการใช้ชีวิตในแต่ละวันเพิ่มขึ้น เพราะการออกกำลังกายจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดดี รวมทั้งทำให้กล้ามเนื้อบริเวณเชิงกรานแข็งแรงยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มพลังและความอดทนเมื่อต้องเจ็บครรภ์เป็นเวลานานและตอนเบ่งคลอด
  4. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น การขับถ่ายเป็นปกติ ท้องไม่ผูกหรือมีอาการท้องผูกลดน้อยลง
  5. การออกกำลังช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญอาหารส่วนเกิน ไขมันจึงไม่สะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากนัก จึงช่วยควบคุมน้ำหนักของคุณแม่มิให้เพิ่มมากขึ้นจนเกินไป และทำให้คุณแม่สามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้นโดยไม่อ้วน แต่ได้ประโยชน์กับลูกน้อย
  6. คุณแม่ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในระหว่างการตั้งครรภ์จะส่งผลดีต่อลูกน้อยอย่างมาก เพราะในขณะที่ออกกำลังกาย ระบบการไหลเวียนของเลือดจะดีขึ้น การถ่ายเทออกซิเจนไปสู่ลูกจึงดีขึ้น ทำให้เจ้าตัวน้อยในท้องเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่และแข็งแรง ในช่วงต้นของการออกกำลังกาย ฮอร์โมนอะดรีนาลินที่หลั่งออกมาจะผ่านไปยังมดลูกในท้อง ทำให้เจ้าตัวน้อยรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเหมือนได้ออกกำลังกายไปพร้อม ๆ คุณแม่ ส่วนสารแห่งความสุข (Endorphin) ที่ได้รับจากการออกกำลังกายจะทำให้คุณแม่มีความสุขอยู่นานกว่า 8 ชั่วโมง ลูกจึงมีความสุขไปพร้อมกับแม่ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ลูกน้อยยังสามารถทนต่อสภาพความเครียดที่เกิดขึ้นในระหว่างที่อยู่ในครรภ์และในระหว่างการคลอดได้ดี ไขมันจะสะสมที่ตัวลูกไม่มาก แม้น้ำหนักแรกคลอดของลูกอาจน้อยไปบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับผิดปกติ แต่จะส่งผลดีในระยะยาว คือ ช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะเด็กอ้วนในระยะ 5 ขวบแรกได้ ซึ่งผลดีนี้อาจจะมีไปถึงช่วงที่โตเป็นผู้ใหญ่ด้วย
  7. คุณแม่สามารถปรับตัวได้ดียิ่งขึ้นต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในระหว่างการตั้งครรภ์
  8. คุณแม่จะมีความพร้อมในการคลอดมากขึ้น ถ้ามีการบริหารร่างกายตลอดเวลาการตั้งครรภ์
  9. คุณแม่ที่ออกกำลังกายเป็นประจำมักจะคลอดบุตรง่าย เพราะจากการศึกษาพบว่า คุณแม่ที่เป็นนักกีฬาจะคลอดบุตรได้ง่ายและสะดวกมากกว่าคุณแม่ทั่วไปที่ไม่ได้ออกกำลังกาย
  10. หลังคลอดร่างกายของคุณแม่จะฟื้นตัวกลับคืนสู่สภาพปกติได้เร็ว ยิ่งถ้าคุณแม่สามารถบริหารร่างกายหลังคลอดด้วยแล้วรูปร่างก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เร็วยิ่งขึ้น

คำแนะนำในการออกกำลังกายของคนท้อง

  1. กลุ่มคุณแม่ที่ห้ามออกกำลังกาย ปกติแล้วจะห้ามเฉพาะคุณแม่ที่อยู่ในข่ายเป็นโรคต่าง ๆ เหล่านี้ เช่น คุณแม่ครรภ์แฝด เคยแท้งบุตรมาก่อนหรือคลอดก่อนกำหนดและไม่รู้สึกเจ็บท้อง เป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ครรภ์เป็นพิษ เบาหวาน ฯลฯ เพราะการออกกำลังกายอาจทำให้เกิดอันตรายอย่างที่กลัว ๆ กันได้ หรือถ้าอยากจะออกกำลังกายจริง ๆ ก็ควรปรึกษาและทำตามคำแนะนำของแพทย์ครับ ส่วนคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ครบ 4 เดือนแล้ว และมีสุขภาพปกติ ร่างกายแข็งแรง การตั้งครรภ์เป็นปกติ ไม่มีโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามที่กล่าวมา ก็สามารถออกกำลังกายได้ตามปกติครับ
  2. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการออกกำลังกาย ในช่วง 3 เดือนแรกไปแล้วถ้าคุณแม่ไม่มีอาการแพ้ท้องก็สามารถออกกำลังกายเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ หรือชนิดที่เรียกกันว่า “ยืดเส้นยืดสาย” พอไม่ให้รู้สึกเมื่อย เมื่อพ้น 3 เดือนแรกไปแล้ว คุณแม่จะสบายขึ้น ส่วนใหญ่จะไม่แพ้ท้องแล้ว ก็ควรหันมาสนใจเรื่องสุขภาพร่างกายด้วยการออกกำลังกาย คุณแม่ควรออกกำลังกายทุกวันหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 วัน วันละ 30-40 นาที
  3. ห้ามออกกำลังกายชนิดที่หักโหมมากหรือชนิดที่ต้องใช้แรงกระแทก เช่น กระโดดเชือก บาสเกตบอล วิ่งเร็ว การวิ่งจ็อกกิ้ง เทนนิส ปิงปอง แบดมินตัน ขี่ม้า สกีทางน้ำ กระโดดตบ สะพานหก รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง เช่น ท่าซิตอัพ แต่ควรหันมาออกกำลังกายอย่างอื่นที่เบา ๆ เช่น การเดินเป็นประจำแทน ด้วยการเริ่มจากการใช้เวลาช่วงละ 5-10 นาที แล้วเพิ่มเวลามากขึ้นเมื่อร่างกายชินแล้วควรเดินให้ได้วันละ 30 นาที (การเดินตอนเช้าหรือตอนเย็นในบริเวณที่อากาศไม่ร้อนหรือเย็นจัดจะช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น ไม่ค่อยเหนื่อย และควรเดินในที่โล่ง เช่น สวนสาธารณะ ริมทะเล สนามกีฬา ส่วนสถานที่ที่มีรถพลุกพล่านไม่ควรเดิน หรือถ้าไม่มีที่เดินจริง ๆ การเดินรอบ ๆ บ้านก็ช่วยได้มากเหมือนกัน) ส่วนการเล่นกอล์ฟ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ ไม่ถือว่าเป็นกีฬาหักโหมแต่อย่างใด คุณแม่สามารถเล่นได้ตามปกติ
  4. การออกกำลังกายที่แนะนำ คือ การเดิน (วิธีที่ง่ายและวิเศษที่สุดสำหรับคุณแม่), การว่ายน้ำ (ทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายแข็งแรง), การเต้นแอโรบิก (ไม่หักโหมหรือเต้นในจังหวะเร็วเกินไป), การเล่นโยคะ (ช่วยให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่นและผ่อนคลายได้ดี), การเต้นรำ (แต่ไม่ควรเต้นรำในจังหวะฉวัดเฉวียน) และการขี่จักรยานอยู่กับที่ เป็นการออกกำลังกายที่ดีมากและไม่มีอันตราย โดยเฉพาะการว่ายน้ำนั้นจะเป็นการออกกำลังกายทุกสัดส่วนของร่างกาย จึงทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนแข็งแรง รวมทั้งยังช่วยทำให้ลูกรู้สึกผ่อนคลายสบายตัวได้มากทีเดียว แต่คุณแม่ไม่ควรว่ายน้ำนานเกินไป สักวันละ 15-20 นาทีก็เพียงพอแล้ว (ถ้าสระว่ายน้ำมีคลอรีนมากเกินไป ซึ่งสังเกตได้จากน้ำมีกลิ่นที่แรงมาก หรือลงไปว่ายน้ำได้ไม่นานแล้วมีอาการคัน ผื่นขึ้น คุณแม่ควรเปลี่ยนไปว่ายน้ำในสระที่ได้มาตรฐานดีกว่า) และไม่ควรว่ายน้ำในสระที่มีน้ำเย็นจัด เพราะอาจทำให้คุณแม่เป็นตะคริวได้ ส่วนการว่ายน้ำในสระที่ร้อนจัดก็ไม่สมควรเช่นกัน ส่วนคุณแม่ที่เป็นนักดำน้ำมาก่อน แม้ตั้งครรภ์แล้วก็สามารถดำน้ำตื้น ๆ ได้ แต่ไม่ควรลึกเกิน 30 ฟุต เพราะพบว่าผู้ที่ดำน้ำลึกจะมีอัตราการแท้งสูงและลูกที่คลอดออกมามีน้ำหนักตัวน้อย
  5. ไม่ควรออกกำลังกายจนชีพจนเต้นเร็วเกิน 120 ครั้งต่อนาที หรือออกกำลังกายจนรู้สึกเหนื่อยเกินไป เพราะร่างกายจะขับของเสียออกมาในกระแสเลือดมากกว่าปกติ และเลือดจะไปเลี้ยงมดลูกได้น้อยลง ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อลูกในครรภ์ สำหรับวิธีการจับชีพจรนั้นให้ใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง แตะที่ข้อมือด้านในใกล้ทางหัวแม่มือ แล้วนับจำนวนการเต้นของชีพจรอย่างน้อยครึ่งนาทีแล้วคูณด้วยสอง เพื่อให้ครบ 1 นาที ถ้านับการเต้นของหัวใจได้เกินกว่า 120 ครั้งใน 1 นาที แสดงว่าหัวใจกำลังทำงานหนักและอาจเกิดอันตรายได้ คุณแม่ควรหยุดพัก
  6. คุณแม่ต้องคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอ ว่าในขณะตั้งครรภ์คุณแม่จะเหนื่อยง่าย การออกกำลังกายเพียงเพื่อให้ผ่อนคลายสบายตัวก็เพียงพอแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องฟิตซ้อมร่างกายเหมือนนักกีฬา และก่อนออกกำลังกายทุกครั้งคุณแม่ควรหายใจเข้าออกช้า ๆ ลึก ๆ เพื่อเป็นการเตรียมตัว ทั้งยังช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี กล้ามเนื้อได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
  7. คุณแม่ต้องหายใจอย่างสม่ำเสมอในขณะออกกำลังกาย อย่ากลั้นหายใจ เพราะจะทำให้ลูกในครรภ์ได้รับออกซิเจนน้อยลง
  8. คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการเหยียดเกร็งปลายเท้าเพื่อป้องกันการเป็นตะคริว
  9. ถ้ารู้สึกเหนื่อยเกินไปขณะออกกำลังกาย ปวดกล้ามเนื้อ หรือเป็นตะคริว คุณแม่อย่าได้ฝืนทน ควรจะหยุดพักทันที แล้วนั่งให้สบายหายเหนื่อย เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและหัวใจเต้นช้าลงจนเป็นปกติ
  10. หลีกเลี่ยงการทำงานอย่างหักโหมตลอดทั้งวัน คุณแม่ควรหาโอกาสพักบ้างเป็นช่วง ๆ เช่น พักผ่อนด้วยการนอนราบ หรือยกขาทั้งสองข้างขึ้นพิงกำแพง โดยให้ส้นเท้ายันกำแพงและอยู่สูงจากพื้นราบประมาณ 1 ฟุต ให้คุณแม่ทำอย่างนี้ไปสักครู่หนึ่ง วิธีนี้จะช่วยลดการคั่งของเลือดที่ไปเลี้ยงที่ขาได้มาก หรือคุณแม่อาจใช้หมอนสัก 2-3 ใบมาหนุนที่น่องหรือใช้เก้าอี้เตี้ย ๆ มาหนุนปลายเท้าแทนก็ได้ ซึ่งการนอนราบแบบนี้จะช่วยให้หัวใจลดการทำงานลงและทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องและหลังคลายตัวลงได้ เพราะไม่ต้องรับน้ำหนักของมดลูกซึ่งกดทับอยู่ หรือถ้าวันไหนที่คุณแม่ต้องยืนเป็นเวลานาน ๆ ก็ควรจะนอนพักบ้าง ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายได้มากเลยทีเดียว
  11. การทำงานบ้าน เช่น การซักเสื้อผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน หุงหาอาหาร ก็เป็นการออกกำลังกายที่ดีทีเดียวแถมยังได้งานด้วย แต่คุณแม่บางคนอาจจะเบื่อได้เนื่องจากเป็นงานที่จำเจและต้องใช้ความระมัดระวัง เช่น การลื่นหกล้ม การกระทบกระแทก เป็นต้น ถ้าครรภ์แก่ขึ้นก็ควรระวังการยกของหนักหรือเอื้อมมือหยิบของจากที่สูง เพราะอาจจะทำให้ล้มได้ง่าย ส่วนการเดินขึ้นบันไดสูง ๆ หรือเดินขึ้นตึกสูง ๆ หลายชั้นรวดเดียว แบบนี้ไม่ควรทำครับ คุณแม่ควรหยุดพักครึ่งทางหรือพักสักครู่แล้วค่อยเดินต่อ
  12. คุณแม่อาจชวนสมาชิกในครอบครัวมาร่วมออกกำลังกายด้วย เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีต่อกันและความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพของคุณแม่ในระหว่างตั้งครรภ์
  13. การเข้าร่วมกิจกรรมออกกำลังกายเตรียมคลอดจะทำให้คุณแม่ได้พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคุณแม่อื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี

การเตรียมตัวก่อนทำกายบริหารของคนท้อง

ท่าออกกําลังกายสําหรับคนท้อง

คุณแม่ควรบริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 วัน เพราะถ้าหยุดบริหารไปนาน ๆ ก็เท่ากับว่าต้องกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ สำหรับการบริหารร่างกายแบบเพาะกายนั้นไม่แนะนำครับ เพราะการเบ่งหรือเกร็งกล้ามเนื้อมากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อคุณแม่ได้ ก่อนออกกำลังกายประมาณครึ่งชั่วโมง คุณแม่สามารถรับประทานผลไม้หรือถ้าจะให้ดีก็เป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เพราะจะช่วยทำให้การออกกำลังกายเป็นไปได้ดีและสดชื่น ส่วนการแต่งกายนั้น ชุดที่ใช้ฝึกการบริหารจะต้องไม่รัดตึงจนเกินไป เพราะจะเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก คุณแม่ควรสวมเสื้อผ้าที่หลวมและสวมใส่ยกทรงที่พอดี รวมทั้งสวมถุงเท้าและรองเท้าที่ใช้สำหรับการเล่นแอโรบิก ในระหว่างการตั้งครรภ์ขอแนะนำการบริหารร่างกาย 3 ประเภท ดังนี้

1.) การบริหารร่างกายแบบแอโรบิก เป็นการออกกำลังกายเป็นจังหวะที่มีประสิทธิภาพสูงมากวิธีหนึ่ง ท่าต่าง ๆ จะซ้ำ ๆ กัน ซึ่งการบริหารร่างกายแบบนี้จะช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ปอด กล้ามเนื้อ และข้อต่อต่าง ๆ ช่วยให้มีการใช้ออกซิเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อร่างกายคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ โดยขั้นตอนการออกกำลังกายแบบแอโรบิกนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ระยะ ดังนี้

2.) การบริหารกล้ามเนื้อเป็นส่วน ๆ เป็นการบริหารร่างกายที่ไม่หนักมากนัก ทำให้ร่างกายรู้สึกสบาย ผ่อนคลายอย่างเต็มที่ โดยฝึกหัดเกร็งและคลายกล้ามเนื้อไปทีละส่วน แต่ก่อนจะบริหารกล้ามเนื้อเป็นส่วน ๆ ก็ต้องอุ่นร่างกายก่อนเช่นเดียวกับการบริหารร่างกายแบบแอโรบิก หรือจะใช้ท่ายืดกล้ามเนื้อ 4 ท่า ดังต่อไปนี้ก็ได้ (ให้ทำซ้ำในแต่ละท่าประมาณ 5-10 ครั้ง) ได้แก่

เมื่อยืดกล้ามเนื้อเสร็จแล้ว ก็ให้คุณแม่บริหารกล้ามเนื้อไปทีละส่วน ดังนี้ (เมื่อบริหารกล้ามเนื้อเป็นส่วน ๆ เสร็จแล้วก็ต้องผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยเช่นกัน เช่น การนอนยกเท้าสูง นอนตะแคง รวมทั้งนวดเพื่อช่วยลดอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อ)

3.) การบริหารกล้ามเนื้อช่องคลอด ช่วยให้กล้ามเนื้อช่องคลอดแข็งแรง เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด ทำให้กล้ามเนื้อช่องคลอดแข็งแรง ได้แก่

การพักผ่อนภายหลังการบริหารร่างกาย

หลังจากทำครบท่าแล้วคุณแม่ควรนอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ สำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ยังไม่เกิน 8 เดือนอาจจะนอนพักผ่อนในลักษณะนอนหงายหรือนอนตะแคงก็ได้ แต่ถ้าตั้งครรภ์เกิน 8 เดือนขึ้นไปแล้ว ควรนอนพักผ่อนในท่าตะแคงเท่านั้น เพราะถ้านอนหงายอาจทำให้คุณแม่รู้สึกอึดอัด หรือเป็นลมเนื่องจากมดลูกไปกดทับเส้นเลือดได้

สรุป จะเห็นได้ว่าการบริหารร่างกายในระหว่างการตั้งครรภ์นั้นมิใช่เรื่องยากหรือเป็นเรื่องน่ากลัวแต่อย่างใด แถมยังมีประโยชน์ต่อคุณแม่อย่างมากอีกด้วย คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ทั้งหลายจึงควรหมั่นบริหารร่างกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง กระปรี้กระเปร่า ทนต่อความเจ็บปวดได้ดี และเมื่อคลอดแล้วก็ยังมีท่าบริหารร่างกายให้คุณแม่ได้ฝึกทำ ซึ่งจะช่วยให้รูปร่างกลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็วอีกด้วย ซึ่งผมจะขอกล่าวถึงในบทความหน้าครับ

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือคู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด.  “การออกกำลังกายกับการตั้งครรภ์”.  (ศ. (คลินิก) นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ)”.  หน้า 273-287.
  2. หนังสือ 40 สัปดาห์ พัฒนาครรภ์คุณภาพ.  “ออกกำลังกายวันละนิด”.  (รศ.พญ.สายฝน – นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์)”.  หน้า 82-89.

ภาพประกอบ : Bigstock, MedThai (ภาพประกอบอยู่ในระหว่างการจัดทำ)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 การออกกำลังกายสำหรับคนท้อง
  • 2 ประโยชน์ของการออกกำลังกายของคนท้อง
  • 3 คำแนะนำในการออกกำลังกายของคนท้อง
  • 4 การเตรียมตัวก่อนทำกายบริหารของคนท้อง
  • 5 ท่าออกกําลังกายสําหรับคนท้อง
  • 6 การพักผ่อนภายหลังการบริหารร่างกาย
  • 7 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ