การรักษา สิว

การรักษา สิว

การรักษาสิวเมื่อเป็นสิว เบื้องต้นสามารถทำได้ด้วยตนเองโดยใช้ยาหรือครีมตามร้านขายยาที่มีใบรับรอง โดยให้เภสัชกรผู้เชี่ยวชาญช่วยแนะนำ ทั้งนี้ การรักษาและการใช้ยาต้องขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของสิวด้วย ถ้าเป็นสิวหัวดำ สิวหัวขาว หรือสิวอักเสบเล็ก ๆ ก็สามารถใช้ครีมหรือเจลที่เป็นตัวยาเบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide) ซึ่งออกฤทธิ์ลดการดื้อยาของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว รวมทั้งทำให้ผิวแห้งลดการสะสมน้ำมันในชั้นผิวหนัง ใช้รักษาอาการสิวที่มีความรุนแรงในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง

หากซื้อยารักษาด้วยตนเองแล้วพบผลข้างเคียงอย่างหายใจติดขัด อึดอัดในลำคอ หน้าบวม ตาบวม หน้ามืดจะเป็นลม ให้หยุดใช้ยาแล้วรีบไปพบแพทย์ในทันที

แต่หากมีสิวขึ้นจำนวนมากหรือรักษาด้วยตนเองแล้วการอักเสบของสิวยังไม่ทุเลาลง ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการตรวจรักษา กระบวนการรักษาจากแพทย์ขึ้นอยู่กับประเภทของสิว และระดับความรุนแรงของการอักเสบ ครอบคลุมไปถึงการรักษาและป้องกันรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวด้วย ได้แก่ การใช้ยา และการบำบัดต่าง ๆ โดยแพทย์กับผู้ป่วยจะปรึกษากันถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี ก่อนจะเลือกวิธีในการรักษา ดังนี้

การรักษาด้วยยา แบบยาทาเฉพาะที่

มีทั้งรูปแบบครีมและเจล ผู้ป่วยต้องทาเนื้อยาตามจุดที่เกิดสิว โดยทาหลังล้างหน้าให้สะอาดแล้วเช็ดหน้าให้แห้งแล้วประมาณ 15 นาที ในช่วงสัปดาห์แรก ๆ ที่ใช้ยา อาจมีอาการระคายเคือง ผิวแห้ง หรือมีจุดสีแดงที่ผิว แต่ผลการรักษาจะปรากฏตามมาในภายหลัง หากใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ไม่หายจากสิว หรือมีผลข้างเคียงอื่นอย่างอาการแพ้ยา แพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาชนิดอื่นในการรักษาต่อไป

การใช้ยารักษาจะทำให้อาการของสิวค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ บางคนอาการแย่ลงก่อนแล้วดีขึ้น ต้องใช้ระยะเวลานานจึงจะเห็นผลการรักษาที่ชัดเจน โดยอาจใช้เวลารักษาหลายเดือนไปจนถึงหลายปี ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของการอักเสบและปัญหาสุขภาพของแต่ละบุคคล ก่อนใช้ยา ผู้ป่วยต้องแจ้งให้แพทย์ทราบถึงอาการแพ้ยา สถานะการตั้งครรภ์หรือการวางแผนมีบุตร เพราะยาบางชนิดอาจส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายได้

ยาที่ใช้รักษาสิวตามใบสั่งแพทย์และคำแนะนำของแพทย์ ได้แก่

  • เรตินอยด์ (Retinoid) ซึ่งเป็นสารที่ได้มาจากวิตามินเอ แรก ๆ ใช้ยาทาสามครั้งต่อสัปดาห์ในตอนเย็น หลังจากนั้นใช้ทาวันละครั้งเพื่อให้ผิวคุ้นเคยกับสาร ยาตัวนี้จะช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
  • ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) ยาจะฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง รวมทั้งลดรอยแดงจากสิว อาจใช้ร่วมกับยาตัวอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการรักษา เช่น โดยแรก ๆ อาจใช้ยาปฏิชีวินะควบคู่กับเรตินอยด์ โดยทายาปฏิชีวนะในตอนเช้า และทาเรตินอยด์ในตอนเย็น หรือใช้ร่วมกับเบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ เพื่อลดปฏิกิริยาดื้อยาปฏิชีวนะ เช่น ใช้คลินดามัยซิน (Clindamycin) ร่วมกับเบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ และอีริโทรมัยซิน (Erythromycin) ร่วมกับเบนโซอิล เพอร์ออกไซด์ เป็นต้น
  • แดพโซน (Dapsone) เป็นยารักษาการติดเชื้อจากแบคทีเรียและการอักเสบของผิวหนัง ใช้ร่วมกับเรตินอยด์เพื่อประสิทธิผลทางการรักษาสูงสุด อาจมีผลข้างเคียงอย่างผิวแห้งและเป็นรอยแดง

การรักษาด้วยยา แบบยารับประทาน

  • ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) ใช้ลดเชื้อแบคทีเรียและต้านการอักเสบ ใช้เมื่อผู้ป่วยเป็นสิวอักเสบในระดับปานกลางไปจนถึงรุนแรง สามารถใช้ร่วมกับยาปฏิชีวนะแบบทาได้ โดยแพทย์จะจ่ายยาตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายต้านสารหรือดื้อยา ส่วนผลข้างเคียงที่อาจพบจากการใช้ยา ได้แก่ ท้องไส้ปั่นป่วน เวียนศีรษะ เพิ่มความบอบบางให้ผิวไวต่อแดด เป็นต้น โดยตัวยาที่ใช้ คือ ยากลุ่มเตตราซัยคลีน (Tetracycline) เช่น ดอกซีซัยคลีน (Doxycycline)
  • ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptive) เป็นประโยชน์ต่อการรักษาผู้ป่วยและวัยรุ่นเพศหญิง เพราะตัวยามีฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง ส่งผลต่อกระบวนการผลิตขนและน้ำมัน ลดความเสี่ยงของการอุดตันจนทำให้เกิดสิว แต่มีผลข้างเคียง คือ อาการปวดหัว คลื่นไส้ ปวดหน้าอก น้ำหนักเพิ่มขึ้น มีเลือดไหลก่อนมีประจำเดือน และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน
  • ยาต้านฮอร์โมนเพศชาย (Anti-androgen) จะลดผลกระทบที่เกิดจากการมีฮอร์โมนเพศชายสะสมที่ต่อมไขมันใต้ผิวมากเกินไป จนทำให้เกิดการผลิตขนและน้ำมันมากจนเสี่ยงต่อการเกิดสิว อาจนำมาใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยซึ่งเป็นผู้หญิงหรือวัยรุ่นเพศหญิงรับประทานยาปฏิชีวนะแล้วไม่ได้ผล โดยมีผลข้างเคียง อย่างอาการปวดเต้านม ปวดประจำเดือนมาก เป็นต้น
  • ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) ยาอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ ใช้ในผู้ป่วยที่มีสิวอักเสบในระดับรุนแรงมากที่สุด และผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาสิวด้วยวิธีอื่น ๆ โดยผู้ที่ใช้ยาต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะด้วยประสิทธิภาพทางการรักษาสูงสุดก็ทำให้ยานี้มีความเสี่ยงต่อสุขภาพสูงด้วยเช่นกัน เช่น เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า หรือภาวะซึมเศร้าที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย เสี่ยงต่อโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง และเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ที่จะพิการรุนแรงแต่กำเนิด

การรักษาด้วยวิธีการบำบัด

  • การกดสิว ใช้ในกรณีที่รักษาด้วยยาแล้วสิวหัวดำและสิวหัวขาวยังไม่หมดไป โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือช่วยในการบีบเอาสิ่งที่อุดตันภายในสิวออกมา ผลข้างเคียง คือ อาจเกิดร่องรอยหรือรอยแผลเป็นได้
  • การผลัดเซลล์ผิว ใช้กระบวนการทางเคมีมาช่วยในการรักษา เช่น การใช้กรดซาลิเซลิกเพื่อขัดลอกผิวชั้นนอก ลดการอุดตันของน้ำมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว โดยจะมีประสิทธิภาพในการรักษาสูงสุดเมื่อใช้ร่วมกับวิธีการรักษาอื่น ๆ ยกเว้นการรับประทานยาเรตินอยด์ เพราะจะทำให้ผิวแพ้ง่ายและระคายเคือง ผลข้างเคียงที่พบ คือ อาจเกิดรอยแดง ผิวพุพอง หรือหลุดล่อนออกมา
  • การฉีดสเตียรอยด์ (Steroid) เป็นการรักษาสิวก้อนลึกและสิวซีสต์ ทำให้การบวมอักเสบของสิวหายไปโดยที่ไม่ต้องบีบสิวออกมา ด้วยการฉีดสเตียรอยด์เข้าไปยังบริเวณที่เป็นสิว โดยมีผลข้างเคียง คือ ทำให้ผิวบางอาจเห็นรอยเส้นเลือดใต้ผิวหนังได้
  • การฉายแสง (Light Therapy) เป็นการฉายแสงเพื่อทำลายเชื้อแบคทีเรียต้นเหตุของการเกิดสิวอักเสบ การฉายแสงต้องดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อควบคุมคุณภาพและปริมาณของแสงให้เหมาะสม การรักษาด้วยการฉายแสงอาจมีผลข้างเคียง คือ เจ็บปวดบริเวณที่ฉายแสง รอยแดงที่เกิดหลังการฉายแสงซึ่งจะหายไปในภายหลัง และผิวบริเวณที่ฉายแสงจะมีความไวต่อแสงแดด มีโอกาสแพ้แสงมากขึ้น

การรักษารอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว

  • การฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะฉีดสารเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อทำให้ผิวตึงและรอยแผลเป็นดูจางลง เช่น พวกคอลลาเจนหรือไขมัน แต่เป็นการรักษาที่คงอยู่เพียงชั่วคราวและสารเหล่านั้นก็จะสลายไป หากรักษาด้วยวิธีนี้ต้องไปฉีดฟิลเลอร์เป็นระยะ ๆ ผลข้างเคียง คือ อาจเกิดการบวม แดง หรือรอยช้ำเป็นจ้ำเลือดบริเวณผิวหนังได้
  • การผลัดเซลล์ผิว เป็นการใช้กรดที่มีความเข้มข้นสูงในการขัดผิวทั้งเซลล์ผิวชั้นนอกที่ตายแล้วและบริเวณชั้นผิวหนังที่ลึกลงไปที่เป็นรอยแผลเป็น
  • การทำเลเซอร์ (Laser Resurfacing) เป็นการยิงเลเซอร์เพื่อกำจัดเซลล์ผิวเก่าที่ไม่พึงประสงค์บริเวณที่เกิดรอยแผลเป็น และเป็นการกระตุ้นให้ผลัดเซลล์ผิวใหม่
  • การฉายแสง เป็นการฉายลำแสงที่ทำให้เกิดความร้อนแต่ไม่เป็นอันตรายต่อผิวชั้นนอก เพื่อทำลายเซลล์ผิวเก่า และกระตุ้นชั้นผิวหนังให้สร้างเซลล์ผิวใหม่ การฉายแสงเป็นวิธีการรักษาที่ใช้เวลาในการทำน้อยกว่าวิธีอื่น แต่ต้องทำซ้ำหลายครั้งเพื่อผลการรักษาที่ดีขึ้น
  • การกรอผิว ใช้รักษารอยแผลเป็นที่รุนแรงด้วยการใช้เครื่องกรอซึ่งเป็นเครื่องมือแพทย์ในการขัดเอาเซลล์ผิวเก่าที่เสียและตายแล้วบริเวณรอยแผลเป็นออกไป หลังจากกรอเอาผิวที่เป็นรอยแผลเป็นออกไปแล้ว ผิวบริเวณนั้นก็จะกลมกลืนกับผิวบริเวณโดยรอบ
  • การทำศัลยกรรมผิวหนัง แพทย์จะผ่าตัดเอาเนื้อบริเวณหลุมสิวหรือแผลเป็นที่เกิดจากสิวออกไป แล้วเย็บหรือปลูกถ่ายเนื้อเยื่อใหม่แทนที่