การตรวจไขมันในเลือด (Lipid Profile Cholesterol, Triglyceride, HDL, LDL)

Lipid Profile

การตรวจระดับไขมันในเลือด หรือการตรวจไขมันในเลือด (ภาษาอังกฤษ : Lipid Profile หรือ Lipid Panel) คือ การตรวจเพื่อให้ทราบค่าขององค์ประกอบของไขมันทุกตัวในกระแสเลือดว่าอยู่ในระดับที่ผิดปกติหรือไม่ เพราะการได้ทราบค่าระดับไขมันที่ผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้แก้ไข เยียวยา หรือรักษาให้ไขมันลดลงมาสู่ระดับปกติได้ทันท่วงที ทั้งนี้ ย่อมช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (CAD), โรคลมปัจจุบัน หรือโรคอุบัติเหตุขาดเลือดในสมอง (CVA)

ตามหลักแล้วคำว่า “Lipid Profile” จะประกอบไปด้วยการวัดค่าไขมัน 5 ตัว คือ Total cholesterol, Triglycerides, HDL-c, LDL-c และ VLDL-c แต่ตามแบบฟอร์มใบตรวจเลือดของโรงพยาบาลทั่วไปจะแสดงผลตรวจของไขมันในเลือดเฉพาะตัวที่สำคัญเพียง 4 ตัวแรก (ไม่มี VLDL-c) ซึ่งจะขอกล่าวถึงไปทีละหัวข้อเพื่อให้เกิดความเข้าใจแบบง่าย ๆ ครับ

Total cholesterol

Cholesterol (คอเลสเตอรอล) คือ สารคล้ายไขมันที่ร่างกายจำเป็นต้องมีใช้ตลอด (คอเลสเตอรอลมิใช่ไขมันแท้จริง เพราะมีค่าพลังงานเท่ากับ 0 แคลอรี) เนื่องจากเป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อผนังห่อหุ้มเซลล์ทุกเซลล์ทั่วร่างกาย (สร้างความลื่นไหล สะดวกต่อการผ่านเข้าออกเซลล์ ของสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ ฯลฯ) เป็นวัตถุดิบให้ร่างกายผลิตน้ำดี (เพื่อใช้ในการย่อยอาหารประเภทไขมันและดูดซึมวิตามินที่ละลายอยู่ในไขมัน) เป็นสารเริ่มต้นให้ร่างกายสังเคราห์วิตามินดีขึ้นมาใช้ เป็นสารสเตียรอยด์ที่ถูกร่างกายนำไปใช้ผลิตสเตียรอยด์ฮอร์โมน และเป็นฉนวนปกป้องห่อหุ้มเส้นใยประสาทเพื่อให้การสื่อประสาทเป็นไปอย่างฉับไว ถูกต้อง ไม่ลัดวงจร

อย่างไรก็ตาม ค่าคอเลสเตอรอลที่สูงกว่าปกติขึ้นไปมาก ๆ ก็ย่อมไม่ส่งผลดี เพราะอาจทำให้หลอดเลือดอุดตันได้ ซึ่งสิ่งที่จะทำให้ร่างกายผลิตคอเลสเตอรอลมากเกินความจำเป็นนั้นก็มักมาจากการกินอาหารมากเกินไป (โดยเฉพาะอาหารที่เป็นน้ำตาล ไขมันอิ่มตัว ไขมันจากเนื้อสัตว์ และไขมันทรานส์) รวมถึงความเครียดหรือความวิตกกังวล (บังคับให้ร่างกายผลิตคอเลสเตอรอลขึ้นมาเตรียมการเกินความจำเป็น) หากมนุษย์เรากินอาหารประเภทใดก็ตามที่มากเกินความต้องการในการใช้ ในที่สุดอาหารส่วนเกินต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะมีจุดหมายปลายทางกลายไปเป็นคอเลสเตอรอลเสมอ แต่จะเป็นตัวดีหรือตัวร้ายนั้นเป็นอีกเรื่อง และความยุ่งยากอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ร่างกายจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อกำจัดคอเลสเตอรอลที่เกิดขึ้นด้วยความลำบาก

กล่าวคือ คอเลสเตอรอลในเลือดจะมีตัวขนส่งที่เรียกว่า “ไลโปโปรตีน” (Lipoprotien) ซึ่งเป็นสารประกอบของโปรตีนผสมกับไขมัน (มีบทบาทช่วยขนส่งคอเลสเตอรอลพาให้ลอยไปในกระแสเลือด เปรียบเสมือนเป็นพาหนะขนส่งให้กับคอเลสเตอรอล เพราะคอเลสเตอรอลลอยตัวเองในเลือดไม่ได้) ถ้าตัวขนส่งหรือไลโปโปรตีนนี้มีส่วนผสมของโปรตีนมากและมีไขมันน้อย ก็จะเรียกว่าเป็น “ไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูง (High-density lipoprotien หรือ HDL) แต่ถ้ามีอัตราส่วนของโปรตีนน้อยและมีไขมันมาก ก็เรียกว่า “ไลโปโปรตีนความหนาแน่นต่ำ (Low-density lipoprotien หรือ LDL) ส่วนโลโปโปรตีนที่สำคัญตัวอื่นที่มีความหนาแน่นต่ำกว่า LDL ก็จะเรียกว่า “VLDL” (Very low-density lipoprotien) และตัวที่มีความหนาแน่นต่ำที่สุดก็จะเรียกว่า “ไคโลไมครอน” (Chylomicron) ซึ่งตรงนี้จะยังไม่ขอกล่าวลงลึกในรายละเอียดครับ

โดยคอเลสเตอรอลที่ไปเกาะ LDL (เรียกสั้น ๆ ว่า LDL-cholesterol หรือ LDL-c) นั้น จะมีบทบาทช่วยกันขนส่งคอเลสเตอรอลจากตับออกไปแจกจ่ายทั่วร่างกาย LDL จึงถือว่าเป็น “ตัวร้าย ที่เพิ่มค่าคอเลสเตอรอลในร่างกายให้สูงขึ้น ส่วนคอเลสเตอรอลที่ไปเกาะ HDL (เรียกสั้น ๆ ว่า HDL-cholesterol หรือ HDL-c) จะมีหน้าที่ตรงกันข้ามกัน เพราะมันจะช่วยกันขนส่งคอเลสเตอรอลทั่วร่างกายกลับคืนไปให้ตับทำลาย (โดยผลิตเป็นน้ำดี) ฉะนั้น HDL จึงถือเป็น “ตัวพระเอก เพราะมันช่วยให้คอเลสเตอรอลทั่วร่างกายลดลงได้

กล่าวโดยสรุป คอเลสเตอรอลจะลอยตัวอยู่เดี่ยว ๆ ในกระแสเลือดไม่ได้ มันจำเป็นต้องเกาะเกี่ยวพาหนะ (ไลโปโปรตีน) ชนิดใดชนิดหนึ่งเสมอ ฉะนั้น การหาค่าคอเลสเตอรอลรวม (Total cholesterol) จึงมีสูตรว่า Total cholesterol = HDL-c + LDL-c + VLDL-c แต่การจะหาค่า VLDL จากเลือดนั้นทำได้ยากกว่าการหาค่า Triglycerides ในทางการแพทย์จึงใช้ค่าของ 20% Triglycerides แทน (ค่านี้มาจาก VLDL ที่มักมีค่าประมาณ 20% ของ Triglyceride) ด้วยเหตุนี้ Total cholesterol ในปัจจุบันจึงสามารถคำนวณได้จากสูตร

Total cholesterol = HDL-c + LDL-c + (Triglycerides/5)

ตรวจระดับไขมันในเลือด
IMAGE SOURCE : elitemensguide.com

ค่า Total cholesterol เพียงตัวเดียว อาจมิใช่ตัวบ่งชี้ที่แม่นยำในการวินิจฉัยสุขภาพ ดังนั้น เมื่อจะต้องมีการเจาะเลือดคราวใดก็สมควรจะตรวจให้ครบทั้ง 4 ตัวสำคัญดังกล่าว

Triglycerides

Triglycerides (ไตรกลีเซอไรด์) หรือเขียนอย่างย่อ ๆ ว่า “TG” คือ ไขมันแท้จริง (มีค่าพลังงานเท่ากับ 9 แคลอรีต่อกรัม) ซึ่งเป็นผลรวมมาจากอาหารทุกประเภทที่กินมากเกินความต้องการในการใช้ + ไขมันจากอาหารไขมันแท้จริง + ไขมันที่แปรผันจากอาหารแป้งและโปรตีน ในยามจำเป็นที่ร่างกายขาดกลูโคส เช่น มิได้บริโภคอาหารคาร์โบไฮเดรต ร่างกายอาจดึงไตรกลีเซอไรด์ที่สะสมไว้ (จนทำให้อ้วน) ออกมาเผาผลาญเพื่อสร้างพลังงานให้กับร่างกายต่อไป

HDL-c

HDL-c (High-density lipoprotein cholesterol) คือ คอเลสเตอรอลชนิดดี ซึ่งเกิดจากไลโปโปรตีนที่มีความหนาแน่นสูง (HDL) ที่มีคอเลสเตอรอลมาเกาะติดหรือบรรทุกอยู่ จึงเขียนว่า “HDL-c” (แต่คนทั่วไปก็เรียกกันว่า HDL เท่านั้น) โดยมีหน้าที่ขนส่งคอเลสเตอรอลทั่วร่างกายกลับคืนไปให้ตับทำลายทิ้งออกไปจากร่างกาย จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลรวม (Total cholesterol) ให้ต่ำลงได้

LDL-c

LDL-c (Low-density lipoprotein cholesterol) คือ คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ซึ่งเกิดจากไลโปโปรตีนที่มีความหนาแน่นต่ำ (LDL) ที่มีคอเลสเตอรอลมาเกาะติดหรือบรรทุกอยู่ จึงเขียนว่า “LDL-c” (แต่คนทั่วไปก็เรียกกันว่า LDL เท่านั้น) โดยมีบทบาทช่วยกันขนส่งคอเลสเตอรอลจากตับออกไปแจกจ่ายทั่วร่างกาย จึงถือว่าเป็น “ตัวร้าย” ที่เพิ่มค่าคอเลสเตอรอลในร่างกายให้สูงขึ้น

ค่า LDL นี้จะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ LDL-c และ Direct LDL-c โดย LDL-c จะเป็นค่าที่ได้มาจากการคำนวณโดยอาศัยสูตร LDL-c = Total cholesterol – HDL-c – (Triglyceride/5) ซึ่งทางห้องปฏิบัติการส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีการคำนวณแบบนี้เพื่อความสะดวก ประหยัด และรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ค่าที่คำนวณได้จึงเป็นค่าแบบทั่วไป (ถ้าในใบรางานผลเลือดระบุว่าเป็น LDL หรือ LDL-c เฉย ๆ ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าเป็นค่าที่ได้มาจากการคำนวณ) ส่วน Direct LDL-c นั้นจะเป็นค่าที่ได้จากการตรวจวิเคราะห์ข้อมูลจากเลือดโดยตรง มิได้ใช้วิธีที่ผลมาจากการคำนวณจากค่าตัวอื่น ดังนั้น Direct LDL-c จึงเป็นค่าที่แน่นอนกว่า

อย่างไรก็ตาม ค่าทั้ง 2 แบบนี้จะไม่แตกต่างกันมากนัก ก็ต่อเมื่อระดับ Triglycerides ไม่สูงเกิน 400 mg/dL หรือไม่ต่ำกว่า 50 mg/dL ฉะนั้น หากค่านี้ในใบรายงานผลเลือดที่มิได้ระบุว่าเป็น Direct LDL-c ก็ควรเหลือบสายตาดูค่า Triglycerides ด้วยว่าสูงหรือต่ำเกินกว่าที่กล่าวมาหรือไม่ หากอยู่ในระหว่างเกณฑ์ก็ถือว่าค่า LDL-c เฉย ๆ นี้ ก็พอน่าจะเชื่อถือได้บ้าง แต่ถ้าไม่อยู่ในเกณฑ์ก็สมควรขอให้สถานพยาบาลเจาะเลือดให้ใหม่ โดยระบุให้ชัดว่าต้องการตรวจหาค่า Direct LDL-c

ตัวอย่างเช่น คนไข้รายนึงผลตรวจเลือดมีค่า Total cholesterol = 262 mg/dL, HDL-c = 79 mg/dL และ Triglycerides = 55 mg/dL (โปรดสังเกตว่าค่า Triglycerides มีค่ามากกว่า 50 mg/dL ตามเงื่อนไข แต่ก็มากกว่านิดเดียว) เมื่อใช้สูตรคำนวณหาก็จะได้ค่า LDL-c = 172 mg/dL แต่คนไข้รายเดียวกันนี้เมื่อวิเคราะห์ LDL-c จากเลือดโดยตรง (Direct LDL-c) กลับปรากฏว่ามีค่าเพียง 126 mg/dL เท่านั้น (ฉะนั้น ค่าทั่วไปที่ได้จากการคำนวณอาจเบี่ยงเบนผิดไปมากจากค่าแท้จริงได้)

Total cholesterol / HDL-c Ratio

เนื่องจากค่า HDL-c ที่ได้จากผลการตรวจเลือดนั้น ค่อนข้างเป็นตัวเลขที่อิสระและมีความแน่นอนเหมือนค่า Total cholesterol ด้วยเหตุนี้โครงการศึกษาคอเลสเตอรอลแห่งชาติ (NCEP) ของสหรัฐอเมริกา จึงได้สำรวจทางสถิติพบอัตราส่วนระหว่าง 2 ค่านี้ว่า อาจใช้เป็นเครื่องบ่งชี้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ (CAD) ได้ โดยเรียกอัตราส่วนนี้เรียกว่า “Risk of Coronary Heart Disease” (อัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเพราะหลอดเลือด) ซึ่งค่าเฉลี่ยในผู้ชายไม่ควรเกิน 5 และในผู้หญิงไม่ควรเกิน 4.4 (มาจากค่า Total cholesterol หารด้วย HDL-c)

เกณฑ์ของอัตราส่วนระหว่าง Total cholesterol ต่อ HDL-c มีดังนี้

LDL-c / HDL-c Ratio

แม้ค่า LDL-c จะค่อนข้างแกว่ง แต่ก็เป็นค่าที่มีความสัมพันธ์กับค่าอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจจึงได้พิจารณาใช้อัตราส่วนระหว่าง LDL-c ต่อ HDL-c (สูตร คือ LDL-c หารด้วย HDL-c) เป็นอีกเกณฑ์หนึ่งเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

ทั้งนี้อัตราส่วนนี้ก็คล้ายคลึงกับอัตราส่วน Total cholesterol ต่อ HDL-c ในหัวข้อที่แล้ว และมิใช่เป็นข้อวินิจฉัยที่ชี้ขาดสุดท้ายว่าจะเป็นหรือไม่เป็นโรค แต่ตัวเลขนี้จะใช้ประโยชน์เพื่อการเฝ้าระวังสำหรับตัวท่านเองได้ หากพบตัวเลขที่ผิดปกติก็จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยต่อไป

เกณฑ์ของอัตราส่วนระหว่าง LDL-c ต่อ HDL-c มีดังนี้

Triglycerides / HDL-c Ratio

เป็นค่าที่ได้จาก Triglycerides หารด้วย HDL-c โดยอัตราส่วนระหว่าง Triglycerides กับ HDL-c อาจช่วยบ่งชี้โรคหัวใจได้ โดยค่ายิ่งต่ำ (เช่น 1.7) ก็ย่อมบ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจต่ำ แม้วิถีชีวิตประจำวันของผู้ถูกตรวจจะไม่สู้ดีนักก็ตาม แต่ถ้ายิ่งมีค่าสูง ๆ (เช่น 6.0) ก็ย่อมบ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจในระดับสูง แม้ว่าจะมีวิถีชีวิตที่ดีเพียงใดก็ตาม

เกณฑ์ของอัตราส่วนระหว่าง Triglycerides ต่อ HDL-c มีดังนี้

ตรวจไขมันในเลือด
IMAGE SOURCE : www.health.harvard.edu

ข้อบ่งชี้ในการตรวจระดับไขมันในเลือด

ผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไปควรได้รับการเจาะเลือดตรวจระดับไขมันทุก ๆ 5 ปี โดยเฉพาะในกรณีที่ท่านมี

วิธีการตรวจระดับไขมันในเลือด

การเตรียมตัวก่อนการตรวจระดับไขมันในเลือด

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 Lipid Profile
  • 2 Total cholesterol
  • 3 Triglycerides
  • 4 HDL-c
  • 5 LDL-c
  • 6 Total cholesterol / HDL-c Ratio
  • 7 LDL-c / HDL-c Ratio
  • 8 Triglycerides / HDL-c Ratio
  • 9 ข้อบ่งชี้ในการตรวจระดับไขมันในเลือด
  • 10 วิธีการตรวจระดับไขมันในเลือด
  • 11 การเตรียมตัวก่อนการตรวจระดับไขมันในเลือด
เรื่องที่น่าสนใจ