การตรวจค่าน้ำตาลสะสมในเลือด (Hemoglobin A1c HbA1c)

การตรวจ HbA1c

HbA1c หรือ Hemoglobin A1c (ฮีโมโกลบินเอวันซี) คือ การตรวจวัดค่าเฉลี่ยของน้ำตาล (กลูโคส) ในเลือดที่จับกับฮีโมโกลบินของเม็ดเลือดแดงในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา (แพทย์บางท่านใช้คำว่า “น้ำตาลสะสม” เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น แต่โดยความหมายแล้วจะสะท้อนค่าเฉลี่ยของน้ำตาลในเลือดช่วงเวลาที่ผ่านมา) เพราะเม็ดเลือดแดงทั่วไปจะมีอายุขัยอยู่ประมาณ 100-120 วัน ดังนั้น ค่าน้ำตาลที่ตรวจได้จึงเป็นค่าน้ำตาลที่สะสมอยู่ในฮีโมโกลบินนานประมาณ 3-4 เดือน ซึ่งเป็นค่าที่ช่วยพิจารณาและประเมินผลการรักษาโดยรวมในช่วงที่ผ่านมาว่าผู้ป่วยเบาหวานสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีหรือไม่ และยังช่วยคัดกรองและวินิจฉัยได้ว่าผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ได้ด้วย

โดยส่วนใหญ่แล้วเรามักจะคุ้นเคยกับการงดอาหาร 8 ชั่วโมงเพื่อไปตรวจเลือด ซึ่งค่าน้ำตาลที่ได้ก็จะบอกได้เพียงคร่าว ๆ ว่า 1-2 วันที่ผ่านมาท่านได้รับประทานอาหารที่มีน้ำตาลมากน้อยเพียงไหน จึงอาจไม่เพียงพอต่อการประเมินประสิทธิภาพการรักษาในระยะยาวของแพทย์ได้ อีกทั้งหลายคนก็มักจะงดของโปรดไม่ว่าจะเป็นน้ำหวานหรือขนมก่อนไปเจาะเลือด 2-3 วัน เพื่อหวังผลให้น้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ที่พอใจ ดังนั้นการตรวจค่าเฉลี่ยระดับน้ำตาลในเลือดในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา (HbA1c) จึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะช่วยประเมินผลการรักษาและป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนในระยะยาวได้เป็นอย่างดี (ไม่ใช่เพียงแค่วันสองวันก่อนการตรวจ)

หมายเหตุ : การตรวจ HbA1c มีชื่อเรียกกันทั่วไปเป็นภาษาไทยว่า การตรวจค่าน้ำตาลสะสมในเลือด”, “การตรวจค่าน้ำตาลเฉลี่ยในเลือด”, “การตรวจระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด

HbA1c คืออะไร

ฮีโมลโกลบิน (Hemoglobin) คือ สารโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง (มีหน้าที่ในการนำออกซิเจนแจกจ่ายแก่เนื้อเยื่อต่าง ๆ) และฮีโมโกลบินนั้นก็มีหลายชนิด แต่ฮีโมโกลบินที่มีจำนวนมากที่สุดในเม็ดเลือดแดงก็คือ ฮีโมโกลบินชนิดเอ (HbA) ซึ่งตามปกติจะมีอยู่ประมาณ 97-98% และมีจำนวนแยกย่อยออกเป็น HbA1, HbA2 ฯลฯ ทั้งนี้ เฉพาะแต่ HbA1 ก็ยังสามารถแยกออกเป็น HbA1a, HbA1b และ HbA1c ได้อีกตามคุณลักษณะเฉพาะของแต่ละตัว (ส่วนที่มากที่สุดคือ HbA1c ซึ่งมีประมาณ 80% ของ HbA1 หรือประมาณ 5% ของ HbA ทั้งหมด) โดยตัวสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องโรคเบาหวานนั้นจะเป็นตัว “HbA1c” เพราะ HbA1c จะชอบจับตัวกับน้ำตาลกลูโคสในเลือดและยินยอมให้น้ำตาลมาเคลือบ (Glycosylated) ที่ผิวภายนอกของเม็ดเลือดแดง และเมื่อยิ่งมีน้ำตาลมาจับและเคลือบเม็ดเลือดแดงชนิด HbA1c มากเท่าใด ก็จะยิ่งแสดงว่ามีสภาวะความเป็นโรคเบาหวานมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะก่อให้เกิดผลเสียตามมาหลายประการ

HbA1c คือ
IMAGE SOURCE : www.ekfdiagnostics.com

ส่วนเม็ดเลือดแดงแต่ละเม็ดตามวงจรแล้วนั้นจะทยอยกันกำเนิดขึ้นมาจากไขกระดูกและวนเวียนทำงานในหลอดเลือดในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ กล่าวคือ ในแต่ละเม็ดเลือดแดงเมื่อแก่ตัวลงจะถูกม้ามจับและทำลาย ทำให้อัตราส่วนโดยเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดงแต่ละเม็ดจะมีอายุขัยเพียงประมาณ 100-120 วันเท่านั้น ดังนั้น การจับของน้ำตาลต่อเม็ดเลือดแดงจะมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับระดับของกลูโคสในกระแสเลือด ถ้าน้ำตาลในเลือดไม่สูงมากก็จับระดับหนึ่ง ถ้าน้ำตาลในเลือดสูงมากก็จับได้มากขึ้น เม็ดเลือดแดงแต่ละตัวจึงมีกลูโคสจับมากน้อยแค่ไหนจึงขึ้นอยู่กับอาหารที่รับประทานเข้าไปว่ามากน้อยหรือบ่อยแค่ไหนในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยนับวันขณะที่เจาะเลือดตรวจแล้วย้อนหลังไป 100-120 วัน ว่าจะมีผลทำให้ HbA1c ถูกน้ำตาลเคลือบจับนับจำนวนได้กี่ % ซึ่งจำนวน % ของ HbA1c ที่มากหรือน้อยก็จะเป็นตัวบ่งชี้สภาวะค่าน้ำตาลในเลือดในช่วงที่ผ่านมาว่ามากหรือน้อย

สรุปว่า การตรวจ HbA1c นี้ช่วยบ่งชี้การเป็นโรคเบาหวานได้ค่อนข้างแม่นยำกว่าการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหารโดยตรง เพียงแต่ต้องเข้าใจเป็นสถานการณ์น้ำตาลในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ทั้งที่ความจริงในปัจจุบันอาจจะมีค่าน้ำตาลในเลือดน้อยกว่าหรือมากกว่าแต่ก่อนก็ได้ (เพราะฉะนั้นการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดจึงยังมีความจำเป็นอยู่)

ชื่ออื่นของการตรวจ HbA1c

ประโยชน์ของการตรวจ HbA1c

  1. เพื่อคัดกรองและวินิจฉัยโรคเบาหวาน
  2. เพื่อตรวจติดตามผลการรักษาโรคเบาหวานซึ่งมักจะเจาะเลือดตรวจทุก 3-4 เดือน หรืออย่างน้อยปีละ 2 ครั้งถ้าผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ดีได้อย่างต่อเนื่อง
  3. เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน เนื่องจากผู้ที่มีค่า HbA1c สูงจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนได้สูง เช่น ตาเสื่อม ไตเสื่อม ระบบหลอดเลือด ระบบประสาท ฯลฯ

ข้อควรรู้และคำแนะนำก่อนตรวจ HbA1c

ขั้นตอนการตรวจ HbA1c

ขั้นตอนการตรวจHbA1c
IMAGE SOURCE : www.youtube.com (by i-Diabetes)

ต้องตรวจ HbA1c บ่อยแค่ไหน

การแปลผลตรวจ HbA1c

ค่าปกติของ HbA1c ให้ยึดถือตามค่าที่ระบุไว้ในใบรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีให้ยึดตามค่าทั่วไป คือ

ตัวอย่างผลตรวจ HbA1c
IMAGE SOURCE : www.lifespanindia.com

ตารางเปรียบเทียบค่า HbA1c กับค่าน้ำตาลในเลือด

มีการศึกษาและคำนวณเป็นสูตรออกมาเพื่อใช้ในการแปลงค่า HbA1c เป็นค่าของน้ำตาลในเลือด ซึ่งเรียกว่าค่าเฉลี่ยน้ำตาลในเลือด” (Estimated average glucose : eAG) ดังนี้ คือ

eAG = (28.7 x HbA1c) – 46.7 (mg/dL) หรือ

eAG = (1.59 x HbA1c) – 2.59 (mmol/L)

ค่าเฉลี่ยน้ำตาลในเลือด
IMAGE SOURCE : healthy-ojas.com

ตัวอย่าง : นาย . ไปตรวจเลือดพบค่า HbA1c 5.6% เมื่อนำมาคำนวณจะได้ค่าน้ำตาลเฉลี่ย (eAG) เท่ากับ 114 mg/dL นั่นแสดงว่า น้ำตาลในเลือดของนาย . ที่ขึ้น ลง ตลอด 3-4 เดือนที่ผ่านมานั้นมีค่าเฉลี่ย 114 mg/dL ซึ่งยังอยู่ในช่วงปกติ (เพราะการวินิจฉัยโรคเบาหวานจะตัดเกณฑ์ที่ค่า HbA1c 6.5% หรือค่า eAG = 140 mg/dL ส่วนค่า HbA1c ที่อยู่ระหว่าง 5.7-6.4% หรือ eAG 117-137 mg/dL จะถือว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน)

ค่าผิดปกติของ HbA1c

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 การตรวจ HbA1c
  • 2 HbA1c คืออะไร
  • 3 ชื่ออื่นของการตรวจ HbA1c
  • 4 ประโยชน์ของการตรวจ HbA1c
  • 5 ข้อควรรู้และคำแนะนำก่อนตรวจ HbA1c
  • 6 ขั้นตอนการตรวจ HbA1c
  • 7 ต้องตรวจ HbA1c บ่อยแค่ไหน
  • 8 การแปลผลตรวจ HbA1c
  • 9 ตารางเปรียบเทียบค่า HbA1c กับค่าน้ำตาลในเลือด
  • 10 ค่าผิดปกติของ HbA1c
เรื่องที่น่าสนใจ