การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก แป๊ปสเมียร์ (Pap Smear, Pap test)

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกการตรวจคัดกรองเซลล์มะเร็งปากมดลูกการตรวจหามะเร็งปากมดลูก, การตรวจมะเร็งปากมดลูก หรือการตรวจแป๊ปสเมียร์ (Pap Smear, Pap test หรือ Papanicolaou test)* คือ วิธีการตรวจหาความผิดปกติในระยะก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูกหรือเป็นมะเร็งปากมดลูกในระยะที่ยังไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยที่สูตินรีแพทย์จะใช้เครื่องมือสอดผ่านและถ่างขยายช่องคลอด จากนั้นจะทำการป้ายเซลล์จากมดลูกส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อดูว่าได้เกิดเซลล์มะเร็งขึ้นที่ปากมดลูกหรือไม่ หรือว่าได้ตรวจพบเซลล์ผิดปกติชนิดอื่นที่มีแนวโน้มว่าหากละเลยปล่อยให้ระยะเวลาล่วงเลยผ่านไปอีกไม่นานอาจจะพัฒนาต่อไปจนก่อให้เกิดมะเร็งที่ปากมดลูกได้ในภายหลัง

แป๊ปสเมียร์เป็นวิธีหนึ่งในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่มักทำร่วมกับไปการตรวจภายใน (Pelvic exam) แต่จัดเป็นวิธีที่มีผู้นิยมตรวจกันมากที่สุด เพราะเป็นการตรวจที่ให้ผลที่มีความน่าเชื่อถือสูงและมีประสิทธิภาพที่ดีอย่างหนึ่งในการตรวจหามะเร็ง ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ที่ใช้คำว่า “แป๊ปสเมียร์” ในความหมายของการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอยู่เป็นประจำ

มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคมะเร็งที่พบได้มากเป็นอันดับที่ 2 ในสตรีไทยรองจากมะเร็งเต้านม ในแต่ละปีจะมีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกเกิดขึ้นใหม่ประมาณ 10,000 คน และมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูก ประมาณ 5,200 คน (ถ้าคิดเฉลี่ยเป็นวันแล้วจะตรวจพบในสตรีไทยวันละ 27 คน และมีผู้เสียชีวิตวันละ 14 คน) ซึ่งมาตรการหนึ่งที่ช่วยในการป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกที่นอกเหนือจากการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้นั่นก็คือ การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap Smear) อย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์แนะนำ เพราะหากตรวจพบและบ่งชี้ในระยะเริ่มต้นได้เร็วเท่าใด ก็ย่อมสามารถเลือกวิธีการรักษาที่ให้ผลหายขาดได้มากขึ้นเท่านั้น

หมายเหตุ : Pap (แป๊ป) มาจากคำว่า “Papanicolaou” ซึ่งเป็นชื่อสกุลของนายแพทย์จอร์จ นิโคลาส พาพานิโคเลา (Gorge Nikolas Papanicolaou) ซึ่งเป็นผู้คิดค้นวิธีการเช็ดเอาของเหลวจากมดปากมดลูกไปตรวจหาเซลล์มะเร็ง

วิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่นิยมในปัจจุบันมีอยู่ 2 วิธี ได้แก่

  1. การตรวจแป๊ปสเมียร์แบบสามัญ (Conventional Pap Smear) เป็นการใช้ไม้ป้ายเซลล์ตัวอย่างจากปากมดลูกลงบนแผ่นกระจกโดยตรง มีความสามารถในการตรวจพบความผิดปกติที่ปากมดลูกได้ประมาณ 50-60% (ประกันสุขภาพของรัฐบาลครอบคลุมการตรวจนี้)
  2. การตรวจแป๊ปสเมียร์แบบแผ่นบาง (Thin layer) เป็นการเก็บเซลล์เยื่อบุปากมดลูกที่กวาดได้ทั้งหมดจากเครื่องมือกวาดเซลล์ แล้วนำเซลล์ที่กวาดได้ไปใส่ไว้ในขวดน้ำยารักษาสภาพเซลล์ก่อนแล้วจึงค่อยดูดเซลล์ขึ้นมาย้อมบนแผ่นกระจก โดยมีความสามารถในการตรวจพบความผิดปกติที่ปากมดลูกได้สูงกว่าแบบสามัญคือประมาณ 70-80% แต่ถ้ามีการตรวจหาเชื้อเอชพีวี (HPV) ด้วย พบว่าการตรวจแบบแผ่นบางนี้จะมีความสามารถในการตรวจหาความผิดปกติที่ปากมดลูกได้สูงเกือบ 100% (การตรวจแบบแผ่นบางจะมีค่าใช้จ่ายแพงกว่าแบบสามัญประมาณ 10 เท่า และไม่ครอบคลุมในการใช้สิทธิประกันสุขภาพของรัฐบาล)

นอกจากนี้ ในบางสถานพยาบาลอาจมีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีตรวจดูการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุผิวปากมดลูกด้วยน้ำส้มสายชู (Visual inspection with acetic acid : VIA) แต่ยังเป็นวิธีไม่ค่อยนิยมตรวจกันเท่าไหร่นักในปัจจุบัน

ข้อบ่งชี้ในการตรวจ Pap Smaer

ลักษณะเฉพาะส่วนตัวของสตรีบางกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการตรวจ Pap Smear ตามช่วงเวลาเพื่อป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก ได้แก่

หากต้องการลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปาดมดลูกก็ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ รั้งรอการมีเพศสัมพันธ์ไว้จนกว่าจะอายุครบ 20 ปี และมีเพศสัมพันธ์กับบุรุษผู้ปลอดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น และยังต้องมั่นใจด้วยว่าบุรุษผู้นั้นก็มิได้แอบไปมีคู่นอนกับสตรีอื่นอีกด้วย (ถ้าไม่มั่นใจก็ต้องสวมถุงยางอนามัยด้วยทุกครั้ง)

คำแนะนำก่อนตรวจ Pap Smear

ก่อนการตรวจ Pap Smear สตรีทุกท่านควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

โปรดทราบว่า การตรวจ Pap Smear คือ กรรมวิธีที่จะดึงเอาเซลล์ที่ปากมดลูกซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติออกมาตรวจวิเคราะห์ว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ หากไปฉีดล้างด้วยน้ำยาจนปากมดลูกสะอาดหมดจด ก็ย่อมทำให้ผลการตรวจบิดเบือนหรือผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงได้ “จึงขอให้ท่านได้โปรดอย่าอายที่จะพบคุณหมอ หรือเกรงใจคุณหมอ ในกลิ่นธรรมชาติแท้จริงเดิม ๆ ที่เคยมีอยู่เลยครับ”

ขั้นตอนการตรวจ Pap Smear

แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นหน้าที่ของแพทย์ (สูตินรีแพทย์) ก็ตาม แต่เพื่อลดความกังวลใจก่อนตรวจ ก็ขอบอกไว้ตรงนี้เลยครับว่า การตรวจนี้ไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดอย่างที่คิด เป็นการตรวจทำได้ง่าย และใช้เวลาตรวจไม่มากประมาณ 10-15 นาทีก็เสร็จ แต่สิ่งสำคัญคือจะต้องผ่อนคลายตนเองเพื่อไม่ให้เกิดอาการเกร็งในขณะตรวจ เพราะจะช่วยให้ไม่เจ็บและช่วยให้แพทย์ทำการตรวจได้ง่ายและไวขึ้น โดยในขั้นตอนการตรวจนั้นจะมีรายละเอียดดังนี้

  1. การตรวจ Pap Smear เป็นการตรวจที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอกซึ่งเป็นห้องที่มิดชิดพอสมควร การตรวจจะไม่มีการใช้ยาใด ๆ ก่อนตรวจ เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะตรวจ เจ้าหน้าที่จะแนะนำท่านไปปัสสาวะและเปลี่ยนชุด โดยจะให้ท่านถอดกางเกงชั้นในออกและสวมกระโปงผ้าที่มีลักษณะเหมือนผ้าถุงที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ (แต่หากท่านใส่กระโปรงที่ไม่แคบหรือสั้นมาก ก็อาจถอดเพียงกางเกงชั้นในออกโดยไม่ต้องสวมผ้าถุงของโรงพยาบาลก็ได้ และสามารถขึ้นไปนอนบนเตียงตรวจได้เลย)
  2. เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่จะเชิญให้ท่านขึ้นไปนอนหงายบนเตียงตรวจอวัยวะภายใน ซึ่งจะมีลักษณะเป็นขาหยั่งรองรับขาทั้งสองข้างเพื่อแยกขาออกจากกัน
  3. เจ้าหน้าที่จะเปิดผ้าถุงและนำผ้ามาคลุมและเปิดช่องไว้ให้เพียงพอในการตรวจ หลังจากนั้นเจ้าหน้าจะเรียกแพทย์มาตรวจ
  4. เมื่อท่านพร้อมแล้ว แพทย์ซึ่งใส่ถุงมือเรียบร้อยจะทำความสะอาดบริเวณดังกล่าวด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ แล้วจึงใช้เครื่องมือถ่างขยายช่องคลอด (Speculum) ซึ่งมีลักษณะคล้ายปากเป็ด สอดผ่านและถ่างขยายช่องคลอดเพื่อให้เห็นปากมดลูกได้อย่างชัดเจน ซึ่งในช่วงที่ทำการใส่เครื่องมือเข้าไปในช่องคลอดนี้ ท่านควรแยกเข่าออกจากกันให้กว้างที่สุดในขณะที่พยายามวางก้นลงบนเตียง เพราะจะช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อในช่องคลอดได้ ทำให้ไม่เจ็บ และช่วยให้แพทย์ใส่เครื่องมือได้ง่ายขึ้น (ในบางครั้งแพทย์อาจบอกให้ท่านช่วยเบ่งเล็กน้อยเพื่อให้ใส่เครื่องมือได้ง่ายขึ้น) อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนนี้อาจสร้างความรู้สึกอึดอัดได้เล็กน้อยและอาจทำให้บางรายรู้สึกเจ็บได้เล็กน้อย แต่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลมากครับ เพราะแพทย์จะเลือกขนาดของเครื่องมือให้เหมาะสมกับช่องคลอดของแต่ละคนอยู่แล้ว รวมทั้งในสตรีที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ด้วย
    การตรวจแป๊ปสเมียร์
    IMAGE SOURCE : www.cancer.gov
  5. เมื่อแพทย์ใส่เครื่องมือได้ในตำแหน่งที่เหมาะสม คือเห็นรูเปิดของปากมดลูกแล้ว แพทย์จะใช้อุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายไม้ไอศกรีมแต่มีขนาดเล็กกว่ามาก หรือใช้แปรงเล็ก ๆ ป้ายเอาเซลล์บริเวณปากมดลูก (ถ้าเป็นการตรวจแป๊ปสเมียร์แบบสามัญ แพทย์จะนำไม้ที่เก็บเซลล์ป้ายลงบนแผ่นสไลด์แล้วแช่ในน้ำยาแอลกอฮอล์ แต่ถ้าเป็นการตรวจแป๊ปสเมียร์แบบแผ่นบาง แพทย์จะนำแปรงที่เก็บเซลล์แล้วจุ่มลงในขวดที่บรรจุสารละลายชนิดเฉพาะ) ก่อนที่จะรีบนำไปส่งห้องปฏิบัติการ (Laboratory) เพื่อการตรวจวิเคราะห์ทางพยาธิวิทยาต่อไป ว่ามีเซลล์ผิดปกติที่เข้าได้กับระยะก่อนเป็นมะเร็งหรือระยะที่เป็นมะเร็งปากมดลูกหรือไม่ ซึ่งอันนี้ต้องใช้เวลารอผลประมาณ 1-4 สัปดาห์
    การตรวจหามะเร็งปากมดลูก
    IMAGE SOURCE : www.cookgyn.com, Alamy
  6. หลังจากการเก็บเซลล์เสร็จแล้ว แพทย์ก็จะนำอุปกรณ์เก็บเซลล์ออก แล้วตามด้วยเครื่องมือถ่างขยายช่องคลอดออกจากช่องคลอด เมื่อถึงตรงนี้ก็ถือว่าสิ้นสุดการตรวจ Pap Smear แล้ว
  7. จากนั้นแพทย์อาจจะทำการตรวจภายใน (Pelvic exam) ด้วยการใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของมือขวาที่ใส่ถุงมือใส่เข้าไปในช่องคลอด ส่วนมือซ้ายจะคลำที่หน้าท้องบริเวณท้องน้อยไปพร้อม ๆ กัน เพื่อสังเกตหาความผิดปกติต่าง ๆ ทั้งขนาด รูปร่าง ตำแหน่ง และสีของอวัยวะต่าง ๆ ภายในอุ้งเชิงกราน ซึ่งในระหว่างนี้ให้พยายามผ่อนคลายให้มาก ๆ อย่าเกร็งท้อง เพราะจะช่วยให้แพทย์ตรวจได้ง่าย แม่นยำ และตรวจเสร็จได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นท่านก็สามารถลงจากเตียงตรวจและเปลี่ยนกลับมาใส่ชุดเดิมได้ (การตรวจภายในโดยมากมักจะตรวจร่วมกับ Pap Smear หากท่านต้องการตรวจ Pap Smear แพทย์จะทำการตรวจ Pap Smear ก่อนแล้วจึงตามด้วยการตรวจภายใน)
    การตรวจภายใน
    IMAGE SOURCE : www.cancer.gov

โดยปกติแล้วทั้งการตรวจ Pap Smear และการตรวจภายใน (Pelvic exam) จะไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดใด ๆ ผู้รับการตรวจจึงไม่ต้องเป็นกังวลใจไปมากนัก แต่ในบางครั้งการตรวจก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้เล็กน้อย เช่น อาการปวดหน่วงท้องน้อย หรืออาการปวดบีบมดลูก ซึ่งเกิดขึ้นทันทีภายหลังการตรวจหรือเกิดขึ้นในขณะที่แพทย์กำลังตรวจและทำการเก็บเซลล์ที่ปากมดลูก แต่โดยทั่วไปแล้วอาการดังกล่าวมักจะไม่ค่อยเกิดขึ้น หรือถ้าเกิดก็มักจะเป็นเพียงชั่วคราว เมื่อตรวจเสร็จอาการก็จะหายไป หรืออาจเป็นอยู่เพียงชั่วคราวในระยะเวลาสั้น ๆ (ถ้าอาการดังกล่าวรบกวนท่านมากก็สามารถกินยาแก้ปวดได้) นอกจากนี้ ในสตรีบางรายก็อาจมีเลือดออกภายหลังการตรวจได้ แต่มักจะเป็นเลือดเพียงเล็กน้อยและหายได้เองภายใน 1 วัน แต่หากมีเลือดออกมาก ออกนาน หรืออาการปวดท้องยังไม่หายก็ควรรีบปรึกษาแพทย์

โรคมะเร็งปากมดลูกจะไม่สามารถมาคร่าเอาชีวิตคุณได้เลย ถ้าหากมีการตรวจพบพยาธิสภาพที่ผิดปกติตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นและรีบรักษาอย่างถูกวิธี ด้วยเหตุนี้ สตรีทุกคนที่เข้าเกณฑ์การตรวจ จึงจำเป็นต้องยอมสละเวลาไปรับการตรวจ Pap Smear ตามช่วงเวลา

การแปลผลตรวจ Pap Smear

โดยปกติแล้วสถานพยาบาลหรือห้องปฏิบัติการ (Laboratory) จะใช้เวลาในการรายงานผลการตรวจ Pap Smear ประมาณ 1-4 สัปดาห์ โดยผลการตรวจจะแจ้งเพียงสั้นว่า ๆ ลบ (Negative) หรือ บวก (Positive) แต่ถ้าท่านไม่ทราบผลตามนัด ก็ต้องติดตามสอบถามเพื่อให้ทราบผล ทั้งนี้ การรายงานผลตรวจดังกล่าวจะมีสาระสำคัญและคำแนะนำดังในเบื้องต้นดังนี้

หากการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ผลออกมาเป็นบวก (ผิดปกติ) ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะต้องเป็นมะเร็งปากมดลูกเสมอไป เพราะผลที่ผิดปกตินั้นสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การอักเสบของปากมดลูก การติดเชื้อบางอย่าง ผลบวกลวง ฯลฯ ดังนั้น ถ้าท่านได้รับแจ้งผลการตรวจว่าผิดปกติ ก็ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือตรวจเพิ่มเติมก่อนเสมอเพื่อดูว่าเกิดจากสาเหตุใด

ความผิดพลาดของการตรวจ Pap Smear

การตรวจแป๊ปสเมียร์สามารถเกิดความผิดพลาดได้ขึ้นได้ใน 2 กรณีคือ

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือฉลาดตรวจสุขภาพ ฉบับรู้ทันโรคถอย เล่ม 2. “การตรวจหามะเร็งปากมดลูก (PV, Pap Smear)”. (พอ.ประสาร เปรมะสกุล). หน้า 121-129.
  2. American Cancer Society,.  “The American Cancer Society Guidelines for the Prevention and Early Detection of Cervical Cancer”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.cancer.org.  [7 มิ.ย. 2018].
  3. Siamhealth.  “การทำ Pap test”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.siamhealth.net.  [08 มิ.ย. 2018].
  4. หาหมอดอทคอม.  “แป๊บสเมียร์: การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap-smear หรือ Pap test)”.  (รศ.ดร.พญ.วรลักษณ์ สมบูรณ์พร).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [09 มิ.ย. 2018].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

  • 1 การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
  • 2 วิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
  • 3 ข้อบ่งชี้ในการตรวจ Pap Smaer
  • 4 คำแนะนำก่อนตรวจ Pap Smear
  • 5 ขั้นตอนการตรวจ Pap Smear
  • 6 การแปลผลตรวจ Pap Smear
  • 7 ความผิดพลาดของการตรวจ Pap Smear
  • 8 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ