การตรวจความหนาแน่นของกระดูก (Bone mineral density (BMD) test)

การตรวจความหนาแน่นกระดูก

การตรวจความหนาแน่นของกระดูก (Bone densitometry) กับการตรวจความหนาแน่นของแร่ธาตุในกระดูก (Bone mineral density test) คือการตรวจชนิดเดียวกัน และตรวจด้วยเครื่องหรืออุปกรณ์ชนิดเดียวกัน เพียงแต่มองกันคนละแง่มุม จึงเรียกชื่อต่างกัน แต่การตรวจทั้งคู่ต้องการทราบผล คือ ความหนาแน่นของกระดูกเหมือนกัน เพื่อจะได้ทราบว่าสุขภาพของกระดูกอยู่ในระดับปกติดีมากน้อยเพียงใด หรือเป็นโรคกระดูกพรุนหรือไม่

หมายเหตุ : ชื่ออื่นของการตรวจความหนาแน่นของกระดูก

ความมุ่งหมายในการตรวจ

ผู้ที่ควรได้รับการตรวจ

เนื่องจากอาการของผู้ที่มีสุขภาพกระดูกเสื่อมโทรมจากโรคมวลกระดูกน้อยหรือโรคกระดูกพรุนล้วนไม่มีอาการแสดง จึงทำให้เจ้าของร่างกายอาจไม่รู้ตัวมาก่อนเลยแม้แต่น้อย จนกว่าเมื่อใดก็ตามที่ได้เกิดอุบัติเหตุหกล้มหรือกระดูกหัก ด้วยเหตุนี้การตรวจความหนาแน่นของกระดูกหรือการทำ BMD scan (DEXA scan) เพื่อป้องกันและแก้ไขโรคกระดูกพรุนตามระยะเวลาจึงมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะบางท่านที่เคยรู้จัก หรือไม่เคยตรวจกระดูก หรือรู้จักแล้วแต่ลืมหรือละเลย

มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งชาติ (National Osteoporosis Foundation) ของสหรัฐอเมริการะบุว่า สตรีชาวอเมริกันเกิดโรคกระดูกพรุนประมาณ 80% ส่วนบุรุษนั้นจะเกิดโรคนี้เพียง 20% ซึ่งสถิตินี้ อาจเทีนบเคียงได้ในระดับเดียวกันกับชาติอื่นทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยเราด้วย

การตรวจ BMD scan

อุปกรณ์การตรวจความหนาแน่นของกระดูกมาจากคำว่า “Bone densitometry” หรือจะเรียกว่า “Bone mineral density scan” ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วแพทย์มักจะเรียกกันสั้น ๆ ว่า “การทำ BMD scan” โดย BMD scan นี้ จะใช้หลักการทำงานของรังสี X-ray ที่ดัดแปลงให้รังสีนั้นสามารถซึมผ่านทะลุถึงเนื้อเยื่อภายในกระดูก โดยเรียกหลักการทำงานหรือเครื่องนี้ว่า “Dual-energy X-ray absorptionmetry” (DEXA หรือ DXA) ด้วยเหตุนี้ BMD scan จึงอาจถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “DEXA scan” หรือ “DXA scan

การตรวจความหนาแน่นของกระดูกโดยใช้อุปกรณ์ BMD scan หรือ DEXA scan เป็นการตรวจที่มีความถูกต้องแม่นยำสูง ผู้รับการตรวจได้รับปริมาณรังสีน้อย (ประมาณ 0.8-4.6 mSv ซึ่งน้อยกว่ารังสีที่ได้รับจากการเอกซเรย์ปอดประมาณ 10-25 เท่า) นอกจากนี้ยังสามารถใช้ตรวจกระดูกได้หลายส่วนรวมทั้งมวลกระดูกทั้งร่างกาย แต่การตรวจด้วยเครื่องมือชนิดนี้ก็มีข้อจำกัดในกรณีที่ผู้รับการตรวจมีภาวะกระดูกสันหลังเสื่อม (พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ) เพราะค่าที่ตรวจได้นั้นจะมีความคลาดเคลื่อนสูง

เครื่องตรวจความหนาแน่นของกระดูก
IMAGE SOURCE : www.nhs.uk

นอกจากการตรวจด้วยเครื่อง DEXA (Dual-energy X-ray absorptionmetry) ดังที่กล่าวไปแล้ว ยังมีการตรวจด้วยเครื่อง QCT (Quantitative computed tomography) ซึ่งให้ความถูกต้องและแม่นยำสูงสุดด้วย โดยสามารถแยกกระดูกส่วนนอกและกระดูกส่วนในได้อย่างชัดเจน แต่ผู้รับการตรวจจะได้รับรังสีสูงประมาณ 25-360 mSv และการตรวจด้วยเครื่อง QUS (Quantitative ultrasound) ที่เป็นการตรวจโดยใช้คลื่นเสียงผ่านเนื้อกระดูก (ผู้รับการตรวจจึงไม่ได้รับสีเลย) แต่สามารถตรวจได้เฉพาะกระดูกส้นเท้า (ซึ่งไม่ใช่จุดที่เสี่ยงต่อการหัก) และให้ความถูกต้องแม่นยำที่ไม่สูงมากนัก อีกทั้งผลตรวจที่ปกติก็ไม่สามารถใช้เป็นตัวแทนของความหนาแน่นของกระดูกส่วนอื่น ๆ ได้ สรุปแล้วเมื่อดูจากข้อดีข้อเสียดังกล่าวก็ทำให้การตรวจด้วยเครื่อง DEXA นั้นเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการตรวจความหนาแน่นของกระดูก

  1. ก่อนการตรวจผู้เข้ารับการตรวจไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวใด ๆ เป็นพิเศษทั้งสิ้น สามารถตรวจได้เลย (ในวันตรวจสามารถรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้ตามปกติ) เมื่อตรวจเสร็จแล้วก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยไม่มีรังสีใด ๆ หลงเหลืออยู่ในตัว
    • ในสตรีตั้งครรภ์หรือสงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์ที่ไม่ควรตรวจ เนื่องจากทารกในครรภ์จะได้รับรังสีโดยไม่จำเป็นและอาจเป็นสาเหตุทำให้ทารกพิการหรือแท้งได้
    • ผู้ที่ได้รับการกลืนแร่หรือได้รับสารทึบแสงเพื่อทำ CT scan มาก่อน อาจจะต้องเลื่อนการตรวจออกไปประมาณ 2 สัปดาห์
  2. โดยทั่วไปแพทย์จะตรวจกระดูกที่มีโอกาสหักได้ง่ายจากโรคกระดูกพรุนใน 3 ตำแหน่ง ได้แก่ กระดูกสะโพก (Hip), กระดูกสันหลังส่วนเอว (Lumbar spine) และกระดูกแขนส่วนปลาย (Forearm) โดยเฉพาะกระดูกสะโพกและกระดูกสันหลังส่วนเอวที่นิยมตรวจกันมากที่สุด
  3. ภายในห้องตรวจ BMD scan จะพบว่ามีอุปกรณ์ย่อย 2 ส่วน โดยส่วนแรกคือเตียงนอนสำหรับผู้รับการตรวจ (มีอุปกรณ์ฉาย X-ray อยู่ด้านบน ที่จะสามารถเลื่อนกวาดไปมาให้ตรงกับกระดูกส่วนใดของร่างกายก็ได้) และส่วนที่สองจะเป็นอุปกรณ์ระบบคอมพิวเตอร์พร้อมด้วยจอเฝ้าตรวจ
  4. ผู้เข้ารับการตรวจเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดที่สบาย และถอดเครื่องประดับทุกชิ้นและทุกชนิดออกจากร่างกาย ส่วนในกรณีที่มีโลหะฝังอยู่ในร่างกาย เช่น ใส่เหล็กดามกระดูก ใส่ข้อสะโพกเทียม ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือฝังเหล็กไหลอยู่ร่างกาย ฯลฯ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเสมอ (เพราะในกรณีที่ผู้รับการตรวจใส่ข้อสะโพกเทียมจะได้รับการตรวจในข้อสะโพกฝั่งตรงข้ามแทน หรือใส่เหล็กดามกระดูกสันหลังก็จะได้รับการตรวจในกระดูกสันหลังส่วนเอวที่ไม่มีเหล็กอยู่ เป็นต้น)
  5. จากนั้นผู้รับการตรวจจะนอนบนเตียงตรวจ เจ้าหน้าที่จะจัดตำแหน่งร่างกายให้เหมาะสม แล้วเริ่มเดินเครื่องฉาย X-ray พลังงานต่ำไปยังตำแหน่งที่ต้องการตรวจ ซึ่งกระดูกในแต่ละส่วนจะถูกอุปกรณ์ X-ray ค่อย ๆ เลื่อนกวาดฉายรังสีไปทีละน้อย ๆ และอาจใช้เวลาประมาณ 4-8 นาทีสำหรับการตรวจกระดูกในแต่ละท่อน (รวม ๆ แล้วอาจใช้เวลาบนเตียงตรวจสนาน 10-15 นาที)
  6. ในขณะที่เครื่องกำลังกวาดกระดูกท่อนที่ต้องการตรวจอยู่ ผู้เข้ารับการตรวจก็ต้องพยายามนอนให้นิ่งมากที่สุด เพื่อให้ผลออกมาชัดเจน สมบูรณ์แบบ ไม่ผิดเพี้ยน และโดยไม่ต้องฉาย X-ray ซ้ำอีก
  7. เมื่อตรวจเสร็จ ผลการตรวจจากกระดูกในแต่ละส่วนจะถูกพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษจากระบบคอมพิวเตอร์ แยกเป็นกระดาษแสดงผลของกระดูกแต่ละชนิด ชนิดละ 1 ใบ
  8. ภายหลังการตรวจ ผู้เข้ารับการตรวจสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่มีคำแนะนำในการปฏิบัติตัวเป็นพิเศษแต่อย่างใด

การแปลผลการตรวจ

ในทางการแพทย์จะมีหน่วยวัดความหนาแน่นของกระดูก 2 แบบ คือ T-Score และ Z-Score

  1. T-Score เป็นหน่วยวัดความหนาแน่นของกระดูกในเชิงเปรียบเทียบกับกระดูกของผู้อื่นที่อยู่ในวัย 30 ปี ที่ถือว่าเป็นวัยที่กระดูกกำลังมีความหนาแน่นสูงที่สุดเป็นมาตรฐาน ฉะนั้น กระดูกท่านใดที่มีความหนาแน่นต่ำกว่ามาตรฐาน จะมีศัพท์เรียกว่า “ค่ามวลกระดูกที่เบี่ยงเบนจากมาตรฐาน” (SD) ซึ่งในการนี้ องค์การอนามัยโลกได้เป็นผู้ตั้งค่า Bone mineral density (BMD) ว่าเป็นกี่เท่าในความเบี่ยงเบนจากค่ามาตรฐาน (SD) กล่าวคือ
    • 0 SD = BMD สูงที่สุดของคนวัยหนุ่มสาว
    • 1 ถึง -1 SD = ค่า BMD ในผู้ที่มีสุขภาพกระดูกเป็นปกติดีที่สุด
    • 1 ถึง -2.5 SD = ค่า BMD ในผู้ที่มีมวลกระดูกน้อย (โรคมวลกระดูกน้อย)
    • 2.5 SD หรือต่ำกว่า = ค่า BMD ในผู้ที่มีมวลกระดูกต่ำกว่าบุคคลวัยหนุ่มสาวที่อายุ 30 ปี ประมาณ 2.5 เท่า หรือต่ำมากกว่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นโรคกระดูกพรุน
  2. Z-Score เป็นหน่วยวัดระดับความหนาแน่นของกระดูกในเชิงเปรียบเทียบกับกระดูกของผู้อื่นที่อยู่ในกลุ่มเชื้อชาติเดียวกัน เพศเดียวกัน และในวัยเดียวกัน ค่าที่ได้อาจต่ำกว่าหรือสูงกว่าผู้ที่อยู่ในวัยเดียวกันก็ได้ ด้วยเหตุนี้ Z-Score เพียงค่าเดียว จึงไม่อาจบ่งชี้ได้ว่าในระหว่าง 2 คนนั้น ผู้ใดเป็นโรคกระดูกพรุนแล้วหรือไม่อย่างไร จึงแตกต่างจากค่า T-Score ที่อาจใช้บ่งชี้ได้ชัดเจน (แม้ค่า T-Score จะดูมีประโยชน์มากกว่า แต่ค่า Z-Score ก็ยังนับว่ามีประโยชน์ในแง่ของการเฝ้าระวังโรคกระดูก หรือช่วยบ่งชี้สาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคกระดูกบางโรคที่มีมวลลดน้อยลงไปได้)

สรุปแล้วเราสามารถประเมินสภาวะโรคกระดูกพรุนสามารถวัดได้จากค่า T-Score ดังนี้

การแปลผลตรวจความหนาแน่นของกระดูก
IMAGE SOURCE : wep.webmo.ru

ข้อควรสังเกตจากการแปลผลตรวจ

การดูแลกระดูกให้มีสุขภาพดี

ช่วงชีวิตตั้งแต่เกิดจนถึงวัย 30 ปี คือ ช่วงเวลาที่สำคัญมากที่สุดของการเร่งเสริมสร้างกระดูกให้เกิดความแข็งแกร่ง เพราะจะมีผลสำเร็จสูงสุดและมีผลต่อเนื่องไปจนถึงบั้นปลายชีวิต

เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือฉลาดตรวจสุขภาพ ฉบับรู้ทันโรคถอย เล่ม 2. “การตรวจความหนาแน่นของกระดูก (Bone densitometry)”. (พอ.ประสาร เปรมะสกุล). หน้า 169-182.
  2. หาหมอดอทคอม.  “ความหนาแน่นมวลกระดูก (BONE MINERAL DENSITY)”.  (นพ.สามารถ ราชดารา).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [18 เม.ย. 2018].
  3. โรงพยาบาลกรุงเทพ.  “เครื่องตรวจความหนาแน่นกระดูก (DXA Scan)”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.bangkokhospital.com.  [19 เม.ย. 2018].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)

  • 1 การตรวจความหนาแน่นกระดูก
  • 2 ความมุ่งหมายในการตรวจ
  • 3 ผู้ที่ควรได้รับการตรวจ
  • 4 การตรวจ BMD scan
  • 5 การแปลผลการตรวจ
  • 6 ข้อควรสังเกตจากการแปลผลตรวจ
  • 7 การดูแลกระดูกให้มีสุขภาพดี
  • 8 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ