การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count CBC)

การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด

การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด หรือ การตรวจซีบีซี (ภาษาอังกฤษ : Complete Blood Count หรือ CBC*) คือ การตรวจเลือดวิธีหนึ่งที่ใช้วัดสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยได้ส่วนหนึ่ง รวมทั้งช่วยตรวจหาปัญหาสุขภาพหรือโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลหิตจาง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือการติดเชื้อต่าง ๆ

ซึ่งในใบรายงานผลของการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดจะมีค่าปกติกำกับมาให้อยู่แล้ว แต่อาจจะแตกต่างกันในแต่ละแล็บและโรงพยาบาล ทั้งจากเทคนิคการตรวจ ยี่ห้อเครื่องที่ใช้ตรวจ รวมถึงหน่วยหรือค่าต่าง ๆ ที่ใช้รายงานผล ดังนั้น แพทย์จึงเป็นผู้แปลผลตรวจจากค่าปกติที่กำกับมาในใบรายงานผล ร่วมกับอาการและการตรวจร่างกายของผู้ป่วย

หมายเหตุ : การตรวจนี้อาจมีชื่อเรียกอื่น ๆ ว่า Complete Blood Cell Count, Blood Profile, Hemogram, Full Blood Count (FBC)

ประโยชน์ของการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด

  1. เป็นการตรวจเพื่อดูสุขภาพโดยรวม เช่น ผู้ป่วยมีโรคเรื้อรังเกี่ยวกับเลือดชนิดใดหรือมีการอักเสบของอวัยวะใดที่อาจซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างกายบ้างหรือไม่ เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Leukemia), โรคโลหิตจาง (Anemia), สภาวะเลือดหยุดไหลยากเมื่อเกิดบาดแผล ฯลฯ
  2. เป็นการตรวจเพื่อวินิจฉัยปัญหาสุขภาพ เช่น การตรวจเพื่อยืนยันผลการติดเชื้อในกรณีที่คาดว่าผู้ป่วยรายนั้นได้รับเชื้อบางอย่างเข้าสู่ร่างกาย หรือตรวจเพื่อบ่งชี้สภาวะการอักเสบใด ๆ ทั่วทั้งร่างกาย
  3. เป็นการตรวจเพื่อสังเกตและติดตามผลการรักษาโรค โดยเฉพาะโรคโลหิตจาง โรคเลือดอื่น ๆ หรือโรคที่ส่งผลกระทบต่อจำนวนเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนี้ แพทย์จะทำการตรวจความสมบูรณ์เม็ดเลือดในผู้ป่วยที่ใช้ยาซึ่งส่งผลกระทบต่อจำนวนเซลล์เม็ดเลือดด้วย
  4. เป็นการตรวจเพื่อประเมินร่างกายก่อนการผ่าตัดใหญ่ด้วยโรคอื่น ๆ เพื่อให้แน่ใจในปริมาณของความหนาแน่นของเม็ดเลือดแดง (ไม่เป็นโรคโลหิตจาง) และในปริมาณของเกล็ดเลือดเพื่อให้มั่นใจว่าเลือดจะหยุดไหลเมื่อเกิดบาดแผลจากการผ่าตัด รวมทั้งเพื่อให้มั่นใจปริมาณหรือระดับของเม็ดเลือดขาวว่าจะช่วยฆ่าทำลายล้างจุลชีพก่อโรคใด ๆ ที่อาจล่วงล้ำเข้าสู่ร่างกายในขณะที่ร่างกายยังกำลังอ่อนแอหลังการผ่าตัดได้
  5. เป็นการตรวจเพื่อวิเคราะห์การตอบสนองของร่างกายต่อการรักษาบางอย่าง โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดจะเป็นการตรวจเพื่อดูว่าการรักษามีผลต่อการทำให้ไขกระดูก (Bone marrow) ผลิตเซลล์เม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ ออกมาน้อยหรือมากกว่าปกติหรือไม่
cbcคืออะไร
IMAGE SOURCE : www.cancer.gov

คำแนะนำก่อนตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด

ขั้นตอนการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด

การเจาะเลือด (เพื่อตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด) จะใช้เวลาเพียง 2-3 นาที ซึ่งจะมีรายละเอียดขั้นตอน ดังนี้

  1. ผู้เข้ารับการตรวจจะนั่งบนเก้าอี้หรือนอนบนเตียง แล้วเจ้าหน้าที่จะใช้สายยางรัดเหนือหลอดเลือดตรงบริเวณที่จะเจาะเพื่อช่วยให้เส้นเลือดโป่งขึ้นและง่ายต่อการเจาะเลือด (โดยส่วนมากจะเจาะที่บริเวณข้อพับแขน เพราะเป็นส่วนที่เห็นเส้นเลือดได้ชัดเจนและเจาะได้สะดวก แต่ก็สามารถเจาะบริเวณอื่น ๆ ได้เช่นกัน ส่วนในเด็กอาจเจาะบริเวณหลังมือ ในเด็กทารกจะเจาะที่ส้นเท้า)
  2. จากนั้นเจ้าหน้าที่จะใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่จะเจาะเลือดเพื่อฆ่าเชื้อ และรอสักครู่จนแห้ง แล้วจึงนำไซลิงค์เจาะเพื่อดูดเอาตัวอย่างเลือดตามปริมาณที่ต้องการ (ผู้เข้ารับการตรวจอาจรู้สึกคันหรือเจ็บจี๊ดเล็กน้อยบริเวณที่เจาะ)
  3. เมื่อได้ปริมาณตัวอย่างเลือดตามต้องการแล้ว (สำหรับการตรวจ CBC จะใช้ตัวอย่างเลือดประมาณ 1 ขวดแก้วขนาดเล็ก หรืออาจมากกว่านั้น) เจ้าหน้าที่จะนำเข็มออก ปลดสายรัด ติดสำลีและพลาสเตอร์ยาบริเวณรอยเข็ม เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกจากภายนอกก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย (ในบางรายเจ้าหน้าที่อาจมีการขอให้ผู้เข้ารับการตรวจกดบริเวณที่จะติดพลาสเตอร์ยาไว้ชั่วครู่เพื่อให้เลือดหยุดไหลเร็วขึ้น)
ขั้นตอนการตรวจความสมบูรณ์ของเลือด
IMAGE SOURCE : centromedicoclinico.com

ผลข้างเคียงของการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด

ผลการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด

การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดจะปรากฏผลการตรวจที่แตกต่างกันไปแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับจำนวนเซลล์ที่อยู่ในเลือด ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วัดผลและวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยจากการตรวจดังกล่าว โดยผู้ที่ผลการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดอยู่ในระดับผิดปกติ อาจต้องเข้ารับการตรวจเลือดอีกครั้ง รวมทั้งอาจต้องมีการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อช่วยวัดและยืนยันผลการวินิจฉัย

โดยผลการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดจะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ผลการตรวจปกติ และผลการตรวจผิดปกติ (อาจต่ำหรือสูงกว่าค่าปกติ) ซึ่งจะขอพูดลงในรายละเอียดพอสังเขปของผลการตรวจแต่ละอย่างโดยแบ่งออกเป็นแต่ละหัวเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ตั้งแต่หัวข้อด้านล่างเป็นต้นไป

ตัวอย่างผลการตรวจความสมบูรณ์ของเลือด
IMAGE SOURCE : Anette Owen

WBC

WBC หรือ White Blood Cell คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งบทบาทในการเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค (Antibody) เพื่อปกป้องร่างกายและทำลายจุลชีพก่อโรค เช่น เชื้อโรคหรือจุลินทรีย์ใด ๆ ที่แปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย

Neutrophil (Neut, PMN, Polys)

Neutrophil (นิวโตรฟิล) หรือ Polymorphonuclear neutrophil (PMN) หรือบางคลินิกก็เรียกว่า Polys ซึ่งย่อมาจาก Polymorphonuclear cells คือ เซลล์แยกย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ชนิดหนึ่งที่มีจำนวนเป็น % มากที่สุด มีบทบาทหลักในการทำลายเชื้อโรคชนิดแบคทีเรียที่ได้ล่วงล้ำเข้ามาในร่างกายด้วยกระบวนการกลืนกิน

Lymphocyte (Lymph)

Lymphocyte (ลิมโฟไซต์) คือ เซลล์แยกย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ชนิดหนึ่งที่มีจำนวนเป็น % รองลงมาจากนิวโตรฟิล โดยลิมโฟไซต์จะมีพี่น้องร่วมกำเนิดในสายพันธุ์เดียวกันที่แยกย้ายกันทำหน้าที่ในแต่ละบทบาท คือ T-cells ที่มีหน้าที่ในการทำลายจุลชีพก่อโรคทุกชนิด, B-cells ที่มีหน้าที่ในการสร้างภูมิต้านทานโรคให้แก่ร่างกายโดยตรง, และ Natural Killer cells ที่มีหน้าที่ในการทำลายแบบไม่เลือกทั้งจุลชีพก่อโรคและบรรดาเซลล์ของร่างกายที่กลายพันธุ์ไปเป็นเซลล์มะเร็ง รวมทั้งเซลล์ที่ดีอื่น ๆ ของร่างกายที่ถูกไวรัสเข้าไปแอบหลบซ่อนอยู่ภายในด้วย

Monocyte (Mono)

Monocyte (โมโนไซต์) คือ เซลล์แยกย่อยอีกชนิดของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) มีหน้าที่ในการลาดตระเวนในหลอดเลือด เมื่อได้รับการเตือนภัยจากระบบภูมิคุ้มกัน (มักจะเป็น B-cells) ว่ากำลังมีจุลชีพก่อโรคบุกรุกเข้ามาฝังตัวอยู่ตรงเนื้อเยื่อ ณ บริเวณใดของร่างกาย โมโนไซต์ตัวที่อยู่ภายในหลอดเลือดที่อยู่ใกล้ที่สุดก็จะเข้าไปเขมือบกลืนจุลชีพที่ยังไม่ทันก่อโรค รวมทั้งยังมีหน้าที่เก็บกวาด (เขมือบ) บรรดาเศษชิ้นส่วนหรือซากของจุลชีพก่อโรคที่ถูกฆ่าโดย T-cells หรือ Natural Killer cells ของลิมโฟไซต์ด้วย

Eosinophil (Eos)

Eosinophil (อีโอซิโนฟิล) คือ เซลล์แยกย่อยส่วนน้อยอีกชนิดของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ที่มีประมาณ 1-4% ของ WBC มีหน้าที่สำคัญในการช่วยทำลายสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในร่างกาย โดยช่วยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุล ช่วยให้อาการของภูมิแพ้ลดลงหรือหมดไป

Basophil (Baso)

Basophil (เบโซฟิล) คือ เซลล์แยกย่อยของเซลล์เม็ดเลือดขาว (WBC) ชนิดสุดท้ายที่มีจำนวนเป็น % น้อยที่สุด (มีเพียงประมาณ 1% ของ WBC เท่านั้น) แต่ถึงแม้จะมีจำนวนน้อย เบโซฟิลก็มีบทบาทสำคัญในการควบคุมร่างกายไม่ให้หลั่งสารฮิสตามีน (Histamine) ออกมามากจนเกินไป ในกรณีที่ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ (ช่วยหน่วงเวลาไว้ไม่ให้ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองไวเกินไปต่อผลกระทบซึ่งมาจากสารก่อภูมิแพ้ใด ๆ)

RBC

RBC หรือ Red Blood Cell คือ เซลล์เม็ดเลือดแดงซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการขนส่งออกซิเจนจากปอดด้วยวิธีการให้ออกซิเจนเข้าจับที่บริเวณผิวของเม็ดเลือดแดง โดยนำพาออกไปตามหลอดเลือด ส่งให้แก่ทุกเซลล์ทั่วร่างกาย และนำพาคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซมลพิษที่เหลือจากปฏิกิริยาการเผาผลาญสร้างพลังงานของทุกเซลล์แล้วกลับคืนมาส่งให้ปอด เพื่อทิ้งออกไปนอกร่างกายในช่วงที่มนุษย์หายใจออก

Hemoglobin (Hb, HgB, HGB)

Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) คือ โปรตีนที่มีสีแดงเข้มซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเม็ดเลือดแดง และถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดเนื่องจากมีหน้าที่จับออกซิเจนจากปอดไปส่งให้เซลล์ต่าง. ทั่วร่างกาย และตับเอาคาร์บอนไดออกไซด์มาคืนให้ปอดเพื่อส่งออกทิ้งไปนอกร่างกาย

Hematocrit (Hct, HCT)

Hematocrit (ฮีมาโทคริต) หรือบางแห่งก็เรียกว่า “ปริมาตรเซลล์อัดแน่น” (Packed cell volume : PCV) คือ ความเข้มข้นหรือความหนาแน่นของปริมาตรเม็ดเลือดแดงที่มีอยู่ในน้ำเลือดขณะนั้น จึงเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญตัวหนึ่งของการเกิดโรคโลหิตจาง

MCV

Mean Corpuscular Volume หรือ MCV (เอ็มซีวี) คือ ค่าปริมาตรเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดง ซึ่งคำนวณได้จากค่า Hematocrit หารด้วยจำนวน RBC

MCH

Mean Corpuscular Hemoglobin หรือ MCH (เอ็มซีเอช) คือ ค่าน้ำหนักเฉลี่ยของเนื้อฮีโมโกลบิน (Hemoglobin)

MCHC

Mean Corpuscular Hemoglobin Concentration หรือ MCHC (เอ็มซีเอชซี) คือ ค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของเนื้อฮีโมโกลบินภายในแต่ละเซลล์เม็ดเลือดแดง

RDW

Red Cell Distribution Width หรือ RDW (อาร์ดีดับเบิ้ลยู) คือ ความกว้างของการกระจายขนาดเม็ดเลือดแดง ซึ่งในคนปกตินั้นเม็ดเลือดแดงจะมีขนาดเท่ากันหรือใกล้เคียงกันหรือเหมือนกันทุกเม็ด แต่ในร่างกายของคนบางคนอาจมีขนาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง หรือผิดขนาด

Platelet Count

Platelet Count (เพลตเล็ต เคานต์) คือ จำนวนนับเกล็ดเลือด เกล็ดเลือดมีบาทสำคัญในการช่วยหยุดยั้งการไหลของเลือดขณะเกิดบาดแผลเพื่อป้องกันการเสียเลือดมากเกินควร

MPV

Mean Platelet Volume หรือ MPV (เอ็มพีวี) คือ ค่าเฉลี่ยปานกลางของปริมาตรเกล็ดเลือด

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
  • 2 ประโยชน์ของการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
  • 3 คำแนะนำก่อนตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
  • 4 ขั้นตอนการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
  • 5 ผลข้างเคียงของการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
  • 6 ผลการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
  • 7 WBC
  • 8 Neutrophil (Neut, PMN, Polys)
  • 9 Lymphocyte (Lymph)
  • 10 Monocyte (Mono)
  • 11 Eosinophil (Eos)
  • 12 Basophil (Baso)
  • 13 RBC
  • 14 Hemoglobin (Hb, HgB, HGB)
  • 15 Hematocrit (Hct, HCT)
  • 16 MCV
  • 17 MCH
  • 18 MCHC
  • 19 RDW
  • 20 Platelet Count
  • 21 MPV
เรื่องที่น่าสนใจ