กระดูกหัก (Bone fracture) การปฐมพยาบาล การรักษากระดูกหัก 5 วิธี

กระดูกหัก

กระดูกหัก (ภาษาอังกฤษ : Bone fracture, Fracture หรือ Broken bone) คือ การมีรอยแยก รอยแตก หรือมีความไม่ต่อเนื่องกันของเนื้อกระดูก เป็นภาวะที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่มักเกิดจากอุบัติเหตุที่มีแรงมากระทำมากเกินไปจนทำให้กระดูกหักและก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด บวม เคลื่อนไหวไม่ได้ หรือเคลื่อนไหวผิดปกติ ในปัจจุบันนี้การรักษากระดูกหักมีความเจริญก้าวหน้าไปมาก สามารถรักษาให้หายกลับมาใช้งานได้ในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ต้องพิการจากความผิดรูปหรือกระดูกสั้นยาวไม่เท่ากันอีกต่อไป

การปฐมพยาบาลกระดูกหัก

โดยเฉลี่ยแล้วคนเราจะเคยกระดูกหักประมาณ 2 ครั้งในชีวิต แม้กระทั่งในประเทศที่พัฒนาแล้ว ฉะนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ยากเลย เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงควรให้ความสำคัญที่จะเรียนรู้ถึงวิธีการปฐมพยาบาลกระดูกหักที่ถูกวิธีเพื่อเอาไว้ช่วยเหลือตัวเอง ครอบครัว หรือคนอื่น ๆ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้

  1. ประเมินบริเวณที่บาดเจ็บ เพราะแผลบาดเจ็บจากอุบัติเหตุนั้นไม่ได้เป็นการรับประกันว่ากระดูกจะหัก ส่วนกระดูกที่หักหรือร้าวที่เกิดบริเวณศีรษะ กระดูกสันหลัง หรือสะโพกนั้นก็ยากที่จะบ่งชี้ได้โดยไม่ปราศจากการเอกซเรย์ หากสงสัยว่ามีกระดูกมีการหักหรือร้าวที่บริเวณเหล่านี้ไม่ควรทำการเคลื่อนย้ายใด ๆ ถ้าไม่ได้ผ่านการฝึกมาก่อน ส่วนกระดูกที่แขน ขา นิ้วมือ และนิ้วเท้านั้น เวลาหักเรามักจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันบิด เบี้ยว เปลี่ยนทรง หรือไม่เข้าที่ (ต้องประเมินบาดแผลโดยไม่ขยับมันบ่อย)
  2. โทรเรียกรถพยาบาลโดยเร็วที่สุดหากบาดแผลนั้นรุนแรงและคิดว่ากระดูกน่าจะหัก แต่ในกรณีที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลและค่อนข้างมั่นใจว่าการบาดเจ็บนั้นไม่รุนแรงและเป็นแค่กระดูกระยางค์ ผู้ให้การช่วยเหลืออาจตัดสินใจขับรถพาผู้บาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาลเองได้เลย (ผู้บาดเจ็บห้ามขับรถมาโรงพยาบาลด้วยตัวเอง แม้การบาดเจ็บนั้นจะไม่รุนแรงก็ตาม)
  3. ทำการปฐมพยาบาลด้วยวิธีซีพีอาร์ (CPR) หากผู้บาดเจ็บไม่หายใจและผู้ช่วยเหลือตรวจหาไม่พบสัญญาณชีพจรตรงข้อมือหรือต้นคอ โดยให้เริ่มทำ CPR (ถ้าคุณรู้วิธีทำ) ก่อนที่รถพยาบาลจะมาถึง รวมทั้งพยายามทำให้ผู้ป่วยมีสติ
  4. ถ้ามีเลือดออกให้ทำการห้ามเลือดก่อนเสมอไม่ว่ากระดูกจะหักหรือไม่ เพราะการที่เลือดไหลออกจากเส้นเลือดใหญ่จะทำให้เสียชีวิตได้ภายในไม่กี่นาที โดยวิธีการห้ามเลือดนั้นให้ใช้ผ้าพันแผลชนิดดูดซึมได้ที่ผ่านการฆ่าเชื้อมากดตรงบาดแผลแน่น ๆ แต่ถ้าไม่มีให้ใช้ผ้าเช็ดตัวหรือผ้าสะอาดพันทบหนา ๆ หลายชั้นแทนได้ในกรณีฉุกเฉิน และกดวางบนปากแผลแล้วใช้นิ้วหรืออุ้งมือกดห้ามเลือดเอาไว้ หรือรัดให้แน่นด้วยผ้าพันแผลรอบบาดแผลด้วยเทปยืดหรือเศษผ้าถ้าทำได้
    • ถ้าบาดแผลใหญ่หรือเลือดยังไม่หยุดไหลหรือไหลรุนแรง ให้หาสายรัด (เช่น เชือก สายไฟ เน็คไท ผ้าพันคอ) มาผูกรัดเหนือบาดแผลให้แน่น ๆ ชั่วคราวจนกว่าหน่วยฉุกเฉินจะมาถึง (ให้คลายสายรัดทุก ๆ 15 นาที โดยคลายนานครั้งละประมาณ 30-60 วินาที ถ้าเลือดยังไม่หยุดไหลก็ให้รัดกระชับเข้าไปใหม่)
    • ถ้ามีชิ้นส่วนใหญ่ ๆ ทิ่มฝังเข้าไปในเนื้อ อย่าพยายามเอามันออก เพราะอาจทำให้เกิดการเสียเลือดมากมาย
  5. ดามกระดูกที่หัก เมื่ออาการของผู้บาดเจ็บคงที่แล้ว หากคุณต้องใช้เวลารอรถพยาบาลนานเกิน 1 ชั่วโมงขึ้นไปควรทำการดามกระดูกที่หัก เพื่อช่วยลดความเจ็บปวดและป้องกันกระดูกที่หักเสียหายไปมากกว่าเดิมจากการขยับเขยื้อนโดยไม่ตั้งใจ (แต่การดามกระดูกเองอาจไม่จำเป็นสักเท่าไหร่หากรถพยาบาลกำลังจะไปถึง เพราะหากทำไม่ถูกวิธีก็อาจจะสร้างความเสียหายมากกว่าเดิมได้)
    • การดามกระดูกชั่วคราวแบบง่าย ๆ สามารถทำได้โดยการใช้แผ่นไม้ พลาสติกแข็ง ไม้บรรทัด กิ่งไม้ ท่อนไม้ ท่อนโลหะ ด้ามร่ม กระดาษแข็ง กล่องกระดาษ หนังสือพิมพ์หรือนิตยสารพับทบหลาย ๆ ชั้น ทำเป็นเฝือกวางแนบกับส่วนที่หัก โดยให้ปลายทั้ง 2 ข้างครอบคลุมถึงข้อที่อยู่เหนือและใต้ส่วนที่หัก (เช่น ถ้าขาท่อนล่างหัก ข้อเข่าและข้อเท้าจะต้องถูกบังคับไว้ด้วยเฝือก เป็นต้น) และควรมีสิ่งนุ่ม ๆ รองรับผิวหนังของอวัยวะส่วนนั้นอยู่เสมอ แล้วรัดทั้งหมดเข้าด้วยกันโดยใช้เทป เชือก ด้าย สายไฟ เน็คไท ผ้าพันคอ เป็นต้น (ต้องรัดให้แน่นพอควร แต่อย่าแน่นมากจนเกินไป เพราะจะขัดขวางการไหลเวียนของเลือดทำให้เกิดอันตรายได้ และต้องระวังอย่าให้ปมเชือกไปกดบาดแผล พร้อมกับคอยตรวจบริเวณที่หักเป็นระยะ ๆ เพราะอาจมีการบวม ซึ่งจะต้องคลายเชือกที่ผูกให้แน่นน้อยลง)
    • ไม่วางเฝือกที่ดามลงบนบริเวณที่กระดูกหักโดยตรง ควรมีสิ่งอื่นที่นุ่ม ๆ รองรับ เช่น ผ้าหรือสำลีวางไว้ตลอดแนวเฝือก เพื่อไม่ให้เฝือกกดลงบนบริเวณผิวหนังโดยตรง ซึ่งจะทำให้เจ็บปวดและเกิดแผลจากเฝือกกดได้
    • อย่าพยายามดึงข้อหรือจัดกระดูกให้เข้าที่ด้วยตัวเอง บริเวณที่ดามเฝือกจะต้องจัดให้อยู่ในท่าที่สุขสบายที่สุด อย่าจัดกระดูกให้เข้ารูปเดิม ไม่ว่ากระดูกที่หักจะโก่ง โค้ง หรือคด ก็ควรดามเฝือกในท่าที่เป็นอยู่
    • ถ้าส่วนที่หักเป็นปลายแขนหรือมือ ให้ใช้ผ้าคลองคอ
    • ถ้าส่วนที่หักเป็นนิ้วมือ ให้ใช้ไม้ไอศกรีมดามนิ้ว
    • ถ้าส่วนที่หักเป็นที่ขา อาจใช้ขาข้างที่ปกติอีกข้างทำเป็นเฝือกแทน โดยการใช้ผ้าหรือกระดาษหนา ๆ วางคั่นตรงกลางขาทั้ง 2 ข้าง แล้วใช้ผ้าพันรอบขาทั้ง 2 ข้างหลาย ๆ เปลาะ
  6. ประคบน้ำแข็งตรงบาดแผล เมื่อกระดูกที่หักได้รับการดามแล้ว ถ้าเป็นไปได้ให้หาถุงน้ำแข็งมาประคบทันทีในระหว่างที่รอรถพยาบาล (ควรใช้ผ้าบาง ๆ มาพันรอบของที่เย็นก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนน้ำแข็งกัด) เพราะการประคบเย็นนี้จะช่วยลดอาการปวด ลดอาการบวมอักเสบ และลดการไหลของเลือดได้ โดยการประคบเย็นให้ประคบไว้นานประมาณ 20 นาทีหรือจนกว่าบริเวณนั้นจะรู้สึกชาก่อนแล้วค่อนเอาออก (การกดน้ำแข็งไว้บนบาดแผลอาจช่วยลดอาการบวมได้มากขึ้นตราบเท่าที่มันไม่ไปทำให้ปวดเพิ่มขึ้น และในขณะที่ประคบน้ำแข็ง ให้ยกช่วงกระดูกที่หักให้สูงขึ้นด้วยเพื่อช่วยลดอาการบวมและชะลอการไหลของเลือด ถ้าทำได้)
  7. ตั้งสติและมองหาสัญญาณการเกิดภาวะช็อค เพราะปฏิกิริยาส่วนใหญ่ที่พบเห็นของผู้ป่วยคือ ความรู้สึกหวาดกลัว ตื่นตระหนก และช็อค ผู้ให้การช่วยเหลือจึงควรพูดให้ความมั่นใจว่ารถพยาบาลกำลังมาถึงและทุกอย่างจะปลอดภัย ในระหว่างที่รอให้หาอะไรมาห่มให้ผู้ป่วยเพื่อเพิ่มความอบอุ่นด้วย และพยายามชวนคุยเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากอาการบาดเจ็บ
  8. พิจารณาให้ยาแก้ปวด ถ้าต้องรอรถพยาบาลนานเกิน 1 ชั่วโมง (หรือคุณรู้อยู่แล้วว่าต้องรอนาน) ให้หายาแก้ปวดอย่างพาราเซตามอล (Paracetamol) มารับประทาน (ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน เพราะยาชนิดนี้มีฤทธิ์ห้ามการจับตัวเป็นก้อนของเลือด จึไม่เหมาะที่จะใช้รักษาการบาดเจ็บของอวัยวะภายในอย่างกระดูกหัก)
  9. คำแนะนำสำคัญที่คุณจำเป็นต้องรู้
    • หากจำเป็นต้องถอดเสื้อผ้าออก ควรใช้วิธีตัดตามตะเข็บ เพื่อลดการเคลื่อนไหวให้น้อยที่สุด
    • ถ้ากระดูกหักโผล่ออกมานอกเนื้อ ห้ามดึงกระดูกให้กลับเข้าที่ เพราะจะทำให้เชื้อโรคและสิ่งสกปรกต่าง ๆ จากภายนอกเข้าไปในบาดแผลและทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย แต่ควรใช้ผ้าสะอาดปิดปากแผลเอาไว้ใช้เฝือกดาม แล้วรอรถพยาบาล
    • ในผู้ป่วยที่กระดูกหักตรงขาส่วนบน กระดูกสันหลัง ศีรษะหรือคอ อุ้งเชิงกรานหรือสะโพก ไม่ควรเคลื่อนไหวร่างกาย และให้รอจนกว่ารถพยาบาลจะมา เนื่องจากการเคลื่อนไหวที่ผิดวิธีจะทำให้บริเวณดังกล่าวบาดเจ็บมากกว่าเดิม
    • งดให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหรืออาหารจนกว่าจะไปพบแพทย์ เนื่องจากในผู้ป่วยบางรายนั้นอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด
การปฐมพยาบาลกระดูกหัก
IMAGE SOURCE : clinicalmonster.com
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นกระดูกหัก
IMAGE SOURCE : www.youtube.com (by RespondRightAid), www.doomandbloom.net

กระดูกหักมีกี่ชนิด

กระดูกหักวิธีการแบ่งชนิดได้หลายแบบ ดังนี้

ชนิดของกระดูกหัก
IMAGE SOURCE : www.algaecal.com

สาเหตุของกระดูกหัก

โดยปกติแล้วกระดูกแต่ละส่วนในร่างกายจะมีความแข็งแรงและทำหน้าที่รับแรงกระแทกจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดี แต่หากได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง กระดูกก็สามารถแตกและหักได้ โดยกระดูกหักมักเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้

อาการของกระดูกหัก

ผู้ป่วยที่กระดูกหักจะเกิดอาการดังต่อไปนี้อาการใดอาการหนึ่ง หรือหลาย ๆ อาการร่วมกัน คือ

อาการกระดูกหัก
IMAGE SOURCE : thainurseclub.blogspot.com, ls1tech.com, www.drdavidgeier.com

ภาวะแทรกซ้อนของกระดูกหัก

ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้กระดูกที่หักต่อกันได้ไม่ดี ทำให้แขนขาโก่งได้ และถ้าเป็นกระดูกหักแบบแผลเปิด อาจทำให้หลอดเลือดแดงฉีก ตกเลือดรุนแรงถึงช็อกได้ หรืออาจทำให้เส้นประสาทฉีกขาดเป็นอัมพาตและชาได้ หรือไม่ก็อาจเกิดการติดเชื้อรุนแรงจนกลายเป็นโลหิตเป็นพิษได้ บางรายอาจติดเชื้อเรื้อรังจนกลายเป็นกระดูกอักเสบเป็นหนองเรื้อรัง

ทั้งนี้ ภาวะแทรกซ้อนอาจแบ่งออกเป็นระยะแรกและระยะปลาย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

การวินิจฉัยกระดูกหัก

โดยทั่วไปแพทย์มักจะวินิจฉัยกระดูกหักได้จากการตรวจดูบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บร่วมกับการเอกซเรย์ดูลักษณะการหักของกระดูก (เพื่อความแน่นอนในการวินิจฉัยจำเป็นต้องอาศัยการเอกซเรย์ภาพกระดูกที่สงสัยว่ามีการหักร่วมด้วยเสมอ แม้แพทย์จะมั่นใจว่ามีกระดูกหัก แต่จะไม่รู้ได้เลยว่าเป็นกระดูกหักชนิดไหน ลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร และควรรักษาด้วยวิธีใดจึงจะเหมาะสมที่สุด)

พยาธิสภาพกระดูกหัก
IMAGE SOURCE : boneandspine.com

ผู้ป่วยบางรายที่ตรวจไม่พบความผิดปกติหลังการเอกซเรย์ แต่แพทย์สันนิษฐานว่ากระดูกหัก อาจต้องใส่เฝือกอ่อนดามกระดูกกันไว้ก่อนประมาณ 10-14 วัน แล้วจึงค่อยกลับมาตรวจเอกซเรย์ดูอีกครั้งว่ากระดูกหักหรือไม่ (หากเกิดกระดูกหัก การเอกซเรย์จะทำให้เห็นรอยหักชัดขึ้น เช่น รอยกระดูกหักที่ข้อมือ)

อย่างไรก็ตาม ในผู้ที่เกิดกระดูกหักที่บริเวณข้อมือ สะโพก หรือประสบภาวะกระดูกหักล้า อาจต้องเข้ารับการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือตรวจเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือสแกนกระดูกด้วย เนื่องจากการตรวจเอกซเรย์อาจแสดงภาพกระดูกหักในบริเวณดังกล่าวได้ไม่ชัดเจน ทั้งนี้ ผู้ที่ได้การวินิจฉัยว่ากระดูกหักเรียบร้อยแล้ว อาจต้องรับการตรวจเพิ่มเติมอีกเพื่อดูว่าเนื้อเยื่อที่อยู่ล้อมรอบกระดูกนั้นเกิดความเสียหายด้วยหรือไม่

ส่วนผู้ป่วยที่กะโหลกศีรษะแตกจะได้การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) แทนการเอกซเรย์กระดูก เพราะการตรวจด้วยวิธีนี้จะช่วยวินิจฉัยภาวะกระดูกหักที่เกิดขึ้นบริเวณกะโหลก รวมทั้งบาดแผลอื่น ๆ ที่เกิดจากการกระทบกระแทก เช่น เลือดออกในสมอง ส่วนในเด็กที่ประสบภาวะกระดูกหักจะได้รับการตรวจร่างกายเพื่อวินิจฉัยภาวะดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ การวินิจฉัยสำหรับเด็กเล็กอาจทำได้ยากหน่อย เพราะกระดูกของเด็กยังเจริญไม่เต็มที่ อีกทั้งกระดูกหลายส่วนในร่างกายก็ยังเป็นกระดูกอ่อนและไม่มีมวลแคลเซียมสะสมภายในกระดูก

วิธีรักษากระดูกหัก

การรักษากระดูกหักมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้กระดูกที่หักเมื่อหายแล้วกลับมาอยู่ในสภาพที่ใกล้เคียงปกติมากที่สุด มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด และผู้ป่วยสามารถลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งในการรักษากระดูกหักนั้นจะมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและลักษณะของกระดูกที่หัก กระดูกหักมากหรือน้อยอย่างไร อายุของผู้ป่วย สภาพร่างกายของผู้ป่วย (แข็งแรงดีหรือมีโรคประจำตัวหรือไม่) รวมถึงอาชีพที่แตกต่างกันไปของผู้ป่วยแต่ละราย ส่วนการจะเลือกรักษาด้วยวิธีใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจร่วมกันของแพทย์และผู้ป่วย โดยแพทย์จะเป็นผู้อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจถึงเหตุผลและวิธีการรักษาต่าง ๆ ซึ่งผู้ที่จะตัดสินใจเลือกแนวทางรักษาในขั้นสุดท้ายก็คือตัวผู้ป่วยเอง

ผู้ป่วยกระดูกหักจะได้รับการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ โดยวิธีรักษาจะประกอบด้วยการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การจัดเรียงกระดูก การใส่เฝือก การผ่าตัด และการตัดแขนหรือขาส่วนนั้นทิ้ง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

  1. การปฐมพยาบาลเบื้องต้นตาม ตามหัวข้อที่กล่าวไป
  2. การจัดเรียงกระดูก เป็นการจัดแนวกระดูกที่หักให้กลับเข้าไปอยู่ในตำแหน่งเดิม เพื่อป้องกันไม่ให้ชิ้นส่วนของกระดูกที่หักหลุดออกจากกัน ช่วยให้กระดูกที่หักกลับมาแข็งแรงและเคลื่อนไหวได้ตามปกติ และรักษากระดูกที่หักได้ ซึ่งแพทย์จะเอกซเรย์ผู้ป่วยเพื่อวินิจฉัยลักษณะของกระดูกที่หักแล้วจัดเรียงแนวกระดูกให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมก่อนการใส่เฝือก (ในเด็กที่ประสบภาวะกระดูกหักหรือผู้ป่วยกระดูกหักแบบทั่วไปและไม่มีแผลนั้นจะได้รับการจัดเรียงกระดูกทันที)
    • การจัดเรียงกระดูกให้เข้าที่มีอยู่หลายวิธี คือ การจัดเรียงกระดูกให้เข้าที่โดยใช้การดึงและควบคุมไม่ให้เคลื่อนด้วยเฝือก, การจัดเรียงกระดูกให้เข้าที่โดยใช้การถ่วงด้วยน้ำหนัก (ในกรณีที่กระดูกต้นขาหัก ผู้ป่วยอาจต้องนอนอยู่บนเตียง แล้วใช้น้ำหนักถ่วงดึงให้กระดูกเข้าที่ ซึ่งผู้ป่วยอาจต้องนอนอยู่นิ่ง ๆ นานเป็นสัปดาห์) และการผ่าตัดเข้าไปจัดเรียงกระดูกให้เข้าที่พร้อมกับการดามกระดูกด้วยโลหะ
  3. การใส่เฝือก เป็นวิธีที่ช่วยพยุงกระดูกและกล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บ ลดปวด ลดบวม ลดกล้ามเนื้อหดเกร็ง และช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกที่จัดเรียงแล้วเกิดการเคลื่อนที่ผิดรูปขึ้นอีก ซึ่งเฝือกที่ใส่อาจจะใส่เป็นเฝือกชั่วคราวแบบครึ่งเดียวหรือเฝือกแบบเต็มรอบแขนหรือขาก็ได้ โดยภายหลังจากจัดเรียงกระดูกเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะพันสำลีรองเฝือกก่อนที่จะพันเฝือก (เฝือกจะต้องพันให้แน่นแบบพอดีกับแขนหรือขา และโดยทั่วไปจะใส่เฝือกตั้งแต่ข้อที่ต่ำกว่ากระดูกที่หักถึงข้อที่อยู่สูงกว่ากระดูกที่หัก) ซึ่งในช่วงแรกที่มีอาการบวมอยู่แพทย์จะใส่เฝือกแบบชั่วคราวให้ก่อน และเมื่ออาการบวมลดลงก็จะใส่เป็นเฝือกแบบเต็ม ซึ่งบางครั้งเมื่อใส่ไปได้ช่วงหนึ่ง (ประมาณ 1-2 อาทิตย์) เฝือกก็อาจจะหลวมได้ เพราะอาการบวมลดลง ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนเฝือกใหม่ และหลังจากกระดูกเริ่มติดแล้ว (ประมาณ 4-6 อาทิตย์) ก็จะเปลี่ยนเป็นเฝือกชั่วคราวเพื่อความสะดวกในการทำกายภาพบำบัด
    • เฝือกจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ เฝือกปูน (เป็นการนำปูนพลาสเตอร์มาเคลือบบนผ้าฝ้าย เมื่อใส่แล้วก็จะมีสีขาว มีราคาค่อนข้างถูก การใส่เฝือกและการตัดเฝือกทำได้ง่าย แต่มีข้อเสียคือ มีน้ำหนักค่อนข้างมาก แตกร้าวได้ง่าย ระบายอากาศได้ไม่ค่อยดี ต้องใช้ไม้ค้ำยัน ห้ามลงน้ำหนักที่เฝือก ถ้าถูกน้ำเฝือกจะเละ/เสียความแข็งแรง มักทำให้เกิดอาการคันจากความอับชื้น เวลาถ่ายภาพเอกซเรย์จะมองไม่ค่อยเห็นรอยของกระดูกที่หัก ถ้าเฝือกแน่นหรือหลวมก็จำเป็นต้องเปลี่ยนเฝือกใหม่) และเฝือกพลาสติก/เฝือกไฟเบอร์ (เป็นพลาสติกสังเคราะห์ มีให้เลือกหลายสี มีสีสวยงาม มีความแข็งแรงสูง แต่ก็ยังต้องใช้ไม้ค้ำยันและห้ามลงน้ำหนักเต็มที่ มีน้ำหนักเบา ระบายอากาศได้ดี และเวลาถ่ายภาพเอกซเรย์จะเห็นกระดูกได้ชัดเจนกว่า แต่มีข้อเสียคือ ราคาที่แพงกว่าเฝือกปูน 6-10 เท่า การตัดเฝือกหรือดัดเฝือกทำได้ยากกว่า ทำให้มักต้องเปลี่ยนใหม่ และถ้าเฝือกแน่นหรือหลวมก็ต้องเปลี่ยนเฝือกใหม่เช่นกัน) นอกจากนี้ยังมีเฝือกลม (Aircast) ซึ่งมีใส่เฉพาะที่ขา เท้า และข้อเท้า เป็นเฝือกที่มีน้ำหนักเบา ระบายอากาศได้ดี มีความแข็งแรงสูง ผู้ป่วยสามารถเดินลงน้ำหนักบนเฝือกได้โดยไม่ต้องใช้ไม้ค้ำยัน มีถุงลมปรับให้แน่นหรือหลวมได้ จึงทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนเฝือก และผู้ป่วยสามารถถอดเฝือกออกได้เอง ส่วนข้อเสียคือ มีราคาแพง (ประมาณข้างละ 5,000 บาท) และไม่สามารถปรับให้เข้ากับกระดูกที่คดผิดรูปได้
    • ผู้ป่วยที่กระดูกหักตรงบริเวณที่ไม่สามารถใส่เฝือกได้ เช่น กระดูกที่ไหปลาร้าหัก แพทย์จะใช้อุปกรณ์คล้องแขนเพื่อช่วยพยุงกระดูกแทน
      การรักษากระดูกหัก
      IMAGE SOURCE : arienmusings.blogspot.com, www.dme-direct.com
  4. การผ่าตัด อาจแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ การผ่าตัดแต่ไม่ใส่เหล็ก (โดยเฉพาะในผู้ที่เกิดกระดูกหักร้ายแรงที่กระดูกทิ่มออกมานอกเนื้อ ซึ่งการผ่าตัดจะทำไปเพื่อล้างทำความสะอาดบาดแผลให้ปราศจากเชื้อโรคและสิ่งสกปรกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อ แล้วจึงค่อยจัดเรียงกระดูกให้เข้าที่และอาจใส่เฝือกหรือเครื่องพยุงอื่น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กระดูกเคลื่อนหลังการผ่าตัด) และการผ่าตัดใส่เหล็กเพื่อดามกระดูกที่หักเข้าไว้ด้วยกัน (มีหลายชนิด เช่น ลวด แท่งเหล็ก แผ่นเหล็ก เป็นต้น ซึ่งเหล็กที่นำมาใช้จะเป็นเหล็กชนิดพิเศษ มีความแข็งแรงกว่าเหล็กธรรมดา ไม่เป็นสนิม และในคนทั่วไปจะไม่เกิดอาการแพ้)
    • ข้อบ่งชี้ที่ควรรักษาด้วยการผ่าตัด เช่น กระหักหลายชิ้นหรือแตกเข้าข้อ, กระดูกหักหลายแห่ง, มีการเคลื่อนของกระดูกที่หักไปมาก, มีแผลเปิดเข้าไปถึงบริเวณกระดูกที่หัก, กระดูกที่หักในบางตำแหน่งถ้าไม่ผ่าตัดแล้วผลการรักษาจะไม่ดี (เช่น กระดูกปลายแขน กระดูกสะโพก กระดูกต้นขา) เป็นต้น
    • ผ่าตัด-ไม่ผ่าตัดแบบไหนดีกว่ากัน ? การจะเลือกวิธีการรักษาแบบใดนั้นท่านจะต้องปรึกษากับศัลยแพทย์กระดูกว่ามีทางเลือกในการรักษาแบบไหนบ้าง แต่ละวิธีการรักษามีข้อดีข้อเสียอย่างไร และควรจะเลือกวิธีการรักษาแบบใดที่มีข้อดีมากที่สุดและมีข้อเสียน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะคงไม่มีวิธีไหนที่จะมีแต่ข้อดีโดยที่ไม่มีข้อเสียเลย
    • ข้อดี-ข้อเสียของการผ่าตัด ในส่วนของข้อดี คือ กระดูกที่ได้รับการจัดให้เข้าที่หรืออยู่ในแนวที่ดีได้ ทำให้กระดูกติดแล้วไม่ผิดรูป เมื่อรักษาหายแล้วจะทำให้อวัยวะนั้นกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงกับปกติมากที่สุด และผู้ป่วยสามารถได้รับการทำกายภาพบำบัดได้เร็ว จึงทำให้สามารถกลับไปดำเนินชีวิตอย่างปกติได้เร็วขึ้น ส่วนข้อเสียก็คือ มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง มีแผลเป็นจากการผ่าตัด การติดเชื้อจากแผลผ่าตัด เสี่ยงต่อการเสียเลือด อาจต้องนอนโรงพยาบาลนานหลายวัน และอาจจะต้องมาผ่าตัดซ้ำอีกครั้ง (โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดใส่เหล็กดามกระดูกในบางตำแหน่ง เพื่อเอาเหล็กนั้นออกเมื่อกระดูกติดสนิทดีแล้ว เช่น การผ่าตัดดามเหล็กในตำแหน่งกระดูกต้นขาและหน้าแข้ง ซึ่งก็ต้องผ่าเอาเหล็กออกเมื่อกระดูกติดดีแล้วประมาณ 1-2 ปีหลังการผ่าตัดใส่เหล็กไว้)
    • ข้อดี-ข้อเสียของการไม่ผ่าตัด ในส่วนของข้อดี คือ ไม่ต้องเจ็บตัวจากแผลผ่าตัด ไม่เสี่ยงกับการเสียเลือด เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และอาจจะไม่ต้องนอนโรงพยาบาลหรือนอนไม่กี่วัน ส่วนข้อเสียคือ ต้องมีการใส่เฝือกเป็นระยะเวลานาน กระดูกที่หักอาจไม่ติดหรือติดช้า กระดูกติดผิดรูป และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการที่ต้องพักนาน ๆ เช่น แผลกดทับ การติดเชื้อ ท้องผูก เป็นต้น
  5. การตัดแขนหรือขาส่วนนั้นทิ้ง ในรายที่กระดูกหักแบบแหลกละเอียด หรือมีบาดแผลเหวอะหวะที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการตัดแขนหรือขาส่วนนั้นทิ้ง เพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยให้อยู่รอดปลอดภัยเสียก่อน เมื่อแผลหายแล้วจึงค่อยให้ผู้ป่วยใส่แขนขาเทียม ซึ่งจะช่วยให้เดินและทำงานได้ (มีผู้ป่วยเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่แพทย์อาจพิจารณาให้ตัดแขนหรือขาส่วนนั้นทิ้ง เนื่องจากกระดูกหักอย่างรุนแรง เพราะถ้าปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายถึงตายได้)

การดูแลตนเองเมื่อต้องเข้าเฝือก

คำแนะนำเกี่ยวกับกระดูกหัก

วิธีป้องกันกระดูกหัก

กระดูกหักเป็นปัญหาสุขภาพที่เราสามารถป้องกันและระวังไม่ให้เกิดได้ โดยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงดังที่กล่าวมา ซึ่งทำได้ดังนี้

  1. ผู้ปกครองควรดูแลเด็กให้ดี เพื่อระวังไม่ให้เล่นซนจนเกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งปิดหน้าต่างหรือมีทางกั้นตรงทางขึ้นลงบันไดเพื่อป้อกงันเด็กเล็กพลัดตกลงไป
  2. ไม่ควรวางสิ่งของทิ้งไว้ตามทางเดินหรือบันได เพื่อป้องกันไม่ให้สะดุดล้ม
  3. เมื่อต้องใช้บันได้หรือนั่งร่าน ควรหลีกเลี่ยงการยืนอยู่บนดันขั้นบนสุด รวมทั้งให้คนอื่นช่วยจับบันไดเอาไว้ในขณะที่ปีนขึ้นไปด้วย
  4. คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งในขณะที่ขับหรือโดยสารรถยนต์
  5. สวมอุปกรณ์ป้องกันการกระแทกเมื่อต้องขับขี่จักรยานยนต์หรือทำกิจกรรมผาดโผนต่าง ๆ เช่น สวมหมวกกันน็อค ใส่สนับเข่า มือ และข้อศอก
  6. ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและสมดุลให้มวลกระดูก รวมทั้งควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานแคลเซียมเสริม
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เอกสารอ้างอิง
  1. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “กระดูกหัก (Fracture/Broken bones)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1051-1053
  2. หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “กระดูกซี่โครงหัก (Rib fracture)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 1054.
  3. หาหมอดอทคอม.  “กระดูกหัก (Bone fracture)”.  (นพ.อำนวย จิระสิริกุล).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : haamor.com.  [19 มิ.ย. 2017].
  4. พบแพทย์.  “กระดูกหัก”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.pobpad.com.  [20 มิ.ย. 2017].
  5. ไทยคลินิก.  “กระดูกหักรักษาอย่างไรดี”.  (นพ.พนมกร ดิษฐสุวรรณ์).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.thaiclinic.com.  [21 มิ.ย. 2017].

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ()

  • 1 กระดูกหัก
  • 2 การปฐมพยาบาลกระดูกหัก
  • 3 กระดูกหักมีกี่ชนิด
  • 4 สาเหตุของกระดูกหัก
  • 5 อาการของกระดูกหัก
  • 6 ภาวะแทรกซ้อนของกระดูกหัก
  • 7 การวินิจฉัยกระดูกหัก
  • 8 วิธีรักษากระดูกหัก
  • 9 การดูแลตนเองเมื่อต้องเข้าเฝือก
  • 10 คำแนะนำเกี่ยวกับกระดูกหัก
  • 11 วิธีป้องกันกระดูกหัก
  • 12 เรื่องที่เกี่ยวข้อง
  • 13 เอกสารอ้างอิง
เรื่องที่น่าสนใจ